ก่อนที่จะไปคิดว่าจะซื้อหุ้นตัวไหนที่ราคากำลังจะวิ่งขึ้นแล้วจะทำให้คุณได้กำไรในทันทีโดยไม่ได้สนใจว่าจริง ๆ แล้วราคาแพงไปแต่ไหนแล้ว ซึ่งผมว่าคงไม่สามารถมีใครบอกได้อย่างนั้นแน่นอน
หากมีคนที่รู้และบอกได้ชัดเจนขนาดนั้นเขาคงจะร่ำรวยจนสามารถครอบครองทุกอย่างในโลกใบนี้กันได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นแนวคิด หรือ Mindset ที่ถูกต้องของการลทุนในหุ้นก็ต้องคิดให้ได้เหมือนคุณกำลังคิดจะลงทุนเพื่อเปิดร้านและประกอบกิจการของตัวเองสักอย่าง
สมมติผมทำข้าวมันไก่อร่อยและอยากจะเปิดร้านข้าวมันไก่ให้มันดูดีสักหน่อย แน่นอนว่าผมเองก็ต้องออกไปหาทำเลที่ดี ทำการเช่าสถานที เริ่มตกแต่งร้าน หาคนมาช่วยหรือจ้างพนักงาน เลือกซื้อวัตถุดิบ และปรุงข้าวมันไก่เพื่อให้บริการแก่ลูกค้า
และนี่คือกิจกรรมทั้งหมดที่คนเปิดร้านข้าวมันไก่ต้องทำ
สมมติผมลงทุนในกิจการร้านข้าวมันไก่ของผมทั้งหมด 100,000 บาท
ข้างล่างคือผลประกอบการ
ยอดขายโดยประมาณวันละ 50 จาน ๆ ละ 50 บาท = 50 x 50 = 2,500 บาท
ยอดขายต่อเดือน = 2,500 x 26 (หยุดสัปดาห์ละ 1 วัน) = 65,000 บาท
ต้นทุนค่าวัตถุดิบเฉลี่ยจานละ 25 บาท = 50 x 26 x 25 = 32,500 บาท
ผมมีค่าเช่าร้านต่อเดือน = 10,000 บาท
เงินเดือนพนักงาน 2 คน = 20,000 บาท
ดังนั้นกำไรที่ผมจะได้คือ
กำไรขั้นต้น (gross margin) = 65,000 – 32,500 = 32,500 บาท
กำไรจากการดำเนินงาน (EBIT Margin) = 32,500 – 10,000 – 20,000 = 2,500 บาท
ผมสมมติว่าผมไม่ได้กู้เงินจึงไม่มีดอกบี้ยต้องจ่าย และผมไม่ต้องจ่ายภาษี ดังนั้น กำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ของผมคือ 2,500 บาทต่อเดือน
ดังนั้นทั้งปีผมก็จะมีกำไร = 2,500 x 12 = 30,000 บาท
**ตัวอย่างที่ผมยกมาคิดในกรณีว่าผมไม่ได้ลงไปบริหารงานด้วยตัวเอง (Passive Income ต้องไม่ทำด้วยตัวเอง) แต่ถ้าผมลงไปทำและคิดเงินเดือนตัวเองด้วยแล้ว ดูไปร้านข้าวมันไก่ของผมคงจะขาดทุนมากมาย
ผมมีนโยบายจ่ายปันผลให้ตัวเอง 50% ของกำไร และส่วนที่เหลือก็จะนำไปลงทุนขยายร้านเพื่อให้มียอดขายที่เพิ่มขึ้นต่อไป
ดังนั้นในสิ้นปีที่ 1 ผมก็จะมีเงินปันผล 15,000 (15% ของเงินลงทุน) บาท และ 15,000 บาทที่เหลือผมก็อาจจะนำไปซื้อสินค้าบางอย่าง เช่นน้ำ หรือสินค้าทานเล่นต่างๆเข้ามาขายในร้านเพิ่มเติม
โดยผมหวังว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นอีกสัก 30% จากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น และผมจะทำอย่างนี้ต่อไปในทุกๆ ปีโดยรวมถึงการขยายสาขาเพิ่มขึ้นด้วยในอนาคต ถ้าทำได้แบบนี้แน่นอนว่ากำไร และเงินปันผลที่ผมจะได้รับในปีต่อไปก็น่าจะเป็นดังตารางในหน้าปกของโพสต์นี้นะครับ
ปีที่ เงินลงทุน กำไร เงินปันผล นำไปลงทุนต่อ
- 100,000 30,000 15,000 15,000
- 115,000 34,500 17,250 17,250
- 132,250 39,675 19,838 19,838
- 152,088 45,626 22,813 22,813
- 174,901 52,470 26,235 26,235
- 201,136 60,341 30,170 30,170
- 231,306 69,392 34,696 34,696
- 266,002 79,801 39,900 39,900
- 305,902 91,771 45,885 45,885
- 351,788 105,536 52,768 52,768
หากผมทำแบบนี้ไปทุกปีและเมื่อเวลา 5 ปีผ่านไปเมื่อเทียบกับเงินลงทุนเริ่มต้นของผมที่ 100,000 บาทแล้ว ผมจะมีกำไรถึง 52,470 บาทนั่นคือ 52% และมีปันผลถึงปีละ 26,235 บาทหรือ 26% มาให้ผมใช้ทุกปีและยังจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
และจากตารางคุณจะเห็นได้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปถึง 10 ปีกำไรที่ผมทำได้ต่อปีก็มากกว่ากว่าเงินลงทุนในปีแรกของผมซะอีก และผมยังได้รับเงินปันผลถึงปีละ 52,768 บาทและนั่นก็เกิน 50% จากเงินลงทุนเริ่มแรกของผม
โดยที่ผมไม่เคยต้องสนใจเลยว่าจะมีใครมาให้ราคาร้านข้าวมันไก่ของผมเท่าไหร่ถ้าหากร้านผมยังทำกำไร และให้ปันผลแก่ผมทุกปี 50% ของเงินลงทุนแล้วก็ยังคงเติบโตขึ้นทุกปีแบบนี้ และนี่คือแนวคิดที่ถูกต้องในการสร้างทรัพย์และ Passive Income
หากเรานำหลักการเดียวกันนี้ไปใช้ในการเลือกซื้อหุ้นที่มีอยูมากมายในตลาดหลักทรัพย์ผมก็ไม่ควรจะต้องไปตื่นเต้นกับหุ้นที่ตลาดให้ราคาสูงเช่นหุ้นบางตัวที่ซื้อคล้ายๆสี ที่มีค่า PE สูงมากเป็นร้อยกว่าเท่าอยู่ในขณะนี้
แต่ผมควรจะกลับไปมองหาหุ้นที่ตลาดให้ราคาติดดินเพราะผู้คนไม่สนใจเพราะมันไม่ทำให้เขารวยได้เร็วภายในวันนี้พรุ่งนี้ แต่หุ้นพวกนี้ยังทำกำไรได้ดี ยังจ่ายปันผลได้สูง สร้างรายได้ให้ผมได้ทุกปี และมีแนวโน้มจะดีขึ้นเมื่อวิกฤษผ่านไป
กลับกันผมควรจะเสียดายมากกว่าหากราคามันขึ้นไปก่อนแทนที่จะให้ผมได้ทยอยซื้อสะสมมันไปได้เรื่อย
เมื่อวานผมเองก็เก็บหุ้นตัวหนึ่งเข้าพอร์ต หุ้นตัวนี้ราคาซื้อขายในปัจจุบันเพียงแค่ 0.5 เท่าเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีหรือ Book Value นั่นหมายถึงผมจ่ายในราคาเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของเจ้าของที่เขาตั้งบริษัทนี้มา
ปีที่แล้วบริษัทจ่ายปันผล 7 บาทจากราคาที่ผมซื้อมาที่ 34 บาทซึ่งคิดเป็น 21% เลยที่เดียว แต่นั่นเพราะบริษัทมีกำไรพิเศษและจ่ายปันผลพิเศษถึง 4 บาท แต่หากคิดเงินปันผลจากกำไรปกติบริษัทก็ยังสูงถึง 8% เลยทีเดียวเมื่อเทียบกับราคาที่ผมซื้อ
ถึงแม้ปันผลอาจจะดูต่ำกว่าร้านข้าวมันไก่ของผมอยู่บ้างแต่โดยรวมแล้วผมเองแทบไม่ต้องไปยุ่งอะไรเขาเลย ไม่ต้องสนใจด้วยว่าวันใหนพนักงานจะลาแล้วผมต้องไปทำข้าวมันไก่ขายเอง ซึ่งผมคิดว่าวิธีการแบบนี้น่าจะเป็นวิธีการที่ดีกว่าในการสร้าง Passive Income ให้ตัวเอง
การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีและมีความเสี่ยงต่ำยังมีอยู่อีกมากเพียงเราเข้าใจ และมีแนวคิดที่ถูกต้องครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการลงทุนครับ
สุวิทย์ เกื้อหนุน
ผู้เขียนหนังสือ มีเงินล้านก่อนลาออก
สำนักพิมพ์ 7D Book & Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels