ภาพถ่ายใบหนึ่งสามารถตีความไปได้หลายความหมาย แต่กว่าช่างภาพจะถ่ายภาพสักใบอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี บางภาพถ่ายเพื่อความสวยงามในขณะที่บางภาพกลับมีค่ามากถึงขนาดที่มันสามารถเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้คนและยังช่วยบอกเล่าถึงความรู้สึกของผู้คนที่ถูกบันทึก
เช่นเดียวกับช่างภาพชื่อ ยูจีน สมิธ เขาเป็นอดีตช่างภาพนักข่าวชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงจากผลงานการถ่ายรูปด้วยฟิล์มขาว-ดำ ในอดีตยูจีนเคยทำงานให้กับเว็บไซต์ข่าว Newsweek และเป็นบรรณาธิการนิตยสาร LIFE จากนั้นก็มาทำงานให้ Magnus Photos งานของเขาคือ การเดินทางทั่วเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย เป็นเวลา 3 สัปดาห์ เพื่อเก็บภาพถ่ายแล้วนำมารวมเป็นหนังสือภาพบอกเล่าเรื่องราวของเมืองในโอกาสครบรอบ 200 ปี การสถาปนาเมือง
แต่สุดท้ายยูจีนกลับใช้เวลามากกว่า 2 ปี เดินทางถ่ายรูปทั่วเมืองจนได้รูปถ่ายขาว-ดำ กว่า 16,000 ใบ และจะกลายเป็นผลงานชิ้นโบแดงในอาชีพ อย่างไรก็ตาม หนังสือภาพของเขากลับไม่ได้รับการตีพิมพ์เพราะเขาต้องการควบคุมงานของเขาเองทั้งหมดในเรื่องของรูปภาพที่ใช้และการจัดวางเลย์เอาต์โดยไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องทำให้นิตยสารตัดสินใจไม่ตีพิมพ์หนังสือ
เพราะความเห็นที่ไม่ตรงกัน ยูจีนตัดสินใจลาออก ความผิดหวังที่ยังคงอยู่ในใจของเขาส่งผลเสียต่อจิตใจและสุขภาพกาย เขารู้สึกเครียดอย่างหนักถึงขนาดที่อยากจะปลิดชีพตัวเองให้หมดทุกข์ไป แต่เขาก็ใช้ชีวิตเรื่อยมา กระทั่งเดือนสิงหาคม 1970 ยูจีนได้พบกับไอลีน มิโยโกะ เจ้าหน้าที่ประสานงานจากบริษัทโฆษณาที่ต้องการให้เขาถ่ายโฆษณาโปรโมตฟิล์มสีของ Fuji ให้
ทั้งคู่ได้รู้จักกันตั้งแต่นั้นจนเวลาผ่านไปสองเดือน ไอลีนก็เล่าข่าวที่บริษัท Chisso Corporation จากญี่ปุ่นปล่อยสารปรอทลงสู่อ่าวมินามาตะทำให้ชาวบ้านในละแวกนั้นได้รับอันตรายจนกลายเป็นโรคมินามาตะให้ยูจีนฟังและอยากให้เขาเดินทางไปทำข่าว ยูจีนปฏิเสธไปเพราะเขาเคยผ่านประสบการณ์ร้ายๆ จากการเข้าไปทำข่าวที่ญี่ปุ่นมาแล้ว แต่สุดท้ายเขากลับตัดสินใจเดินทางไปที่ LIFE เพื่อขอให้ช่วยเล่นข่าวนี้และขอเดินทางไปทำข่าวให้เอง
ทำให้การเดินทางไปที่เมืองมินามาตะ จังหวัดคุมาโมโตะ เพื่อตีแผ่ความจริงและความเจ็บปวดของชาวบ้านที่ได้รับจากการเป็นโรคมินามาตะก็ได้เริ่มขึ้น
และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปี แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็ยังมีผลเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จนปี 2021 เหตุการณ์และรูปถ่ายถูกนำมาเผยแพร่อีกครั้งในรูปแบบภาพยนตร์ในชื่อ Minamata พร้อมกับได้ “จอห์นนี เดปป์” มารับบท “ยูจีน สมิธ” และนี่คือ 3 ข้อคิดหลักที่หนังเรื่องนี้อยากจะบอกให้เรารู้
- อย่าปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำตัวเอง
มันคงเป็นเรื่องที่ดีหากเรามีอารมณ์ดีอยู่ตลอด แต่ในชีวิตจริงเราต้องเผชิญหน้ากับชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายในแต่ละวันจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าอารมณ์มักถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจอยู่เสมอ
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะทำอะไรหรือต้องตัดสินใจเรื่องใดก็ตาม เรามาลองหยุดคิดและใช้เวลาช่วงสั้นๆ มาบอกกับตัวเองว่าเราจะทำอะไรและสิ่งเหล่านั้นจะมีผลลัพธ์ออกมาอย่างไรเพื่อให้ตัวคุณได้ประโยชน์จากการตัดสินใจและต้องไม่ลืมว่ามันไม่ควรส่งผลกระทบต่อคนอื่นด้วย
- ทุกอย่างมีคุณค่า แม้เพียงเล็กน้อย
ประธาน บริษัท ชิสโสะ คิดว่าสิ่งที่โรงงานของเขาผลิตสร้างประโยชน์มากมายให้กับประเทศมากกว่ามานั่งสนใจผลกระทบที่ประชาชนตัวเล็กๆ แค่ไม่กี่คนได้รับ
แน่นอนว่า ความคิดรูปแบบนี้กลับเป็นสิ่งที่โลกของเรายังต้องเผชิญอยู่ทุกวัน สาเหตุหนึ่งก็มาจาการที่เราถูกสอนมาว่าให้นึกถึงผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลัก ผลประโยชน์ส่วนบุคคลเป็นเรื่องรอง แต่ถ้าเรารู้ว่าผลเสียที่เกิดจากการกระทำของเรามันกลับแลกมาด้วยชีวิตของคนอื่น
เราจะยังภูมิใจกับสิ่งที่ทำอยู่อีกไหม?
- ความเชื่อใจ ให้แล้ว…คืนยาก
…ไอลีนเดินทางไปหายูจีนเพราะเชื่อใจว่า มีแต่เขาเท่านั้นที่จะช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านได้แม้จะถูกปฏิเสธ
…ยูจีนไปหาบ็อบเพื่อขอให้เขาช่วยทำข่าวเรื่องโรคมินามาตะให้แต่ก็โดนปฏิเสธ
…บ็อบบอกให้ยูจีนส่งภาพข่าวกลับมาให้และเกลี้ยกล่อมไม่ให้ไปรับเงินสินบน
ความเชื่อใจเป็นสิ่งที่เรามอบให้คนอื่นง่ายๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับสิ่งนี้กลับมา
ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่ความเชื่อใจอยากจะบอกเราคือ อย่าคาดหวังกับมันมากเพราะเราอาจจะไม่สมหวังทุกครั้ง และที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่มีใครที่เราเชื่อใจได้มากหรอก นอกเหนือจากตัวเราเอง
ที่มา
https://tfaoi.org/aa/3aa/3aa317.htm
https://www.beartai.com/lifestyle/490504
https://thepeople.co/william-eugene-smith/
https://en.wikipedia.org/wiki/W._Eugene_Smith
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: Twitter: Minamata