เกลียดเช้าวันจันทร์..เบื่องานที่ทำ..ไม่ชอบสิ่งที่เป็น
เมื่อความรู้สึกหมดไฟกัดกินหัวใจเรา ควรจัดการกับมันอย่างไรดี ?
ทำความรู้จัก Burnout Syndrome หรืออาการหมดไฟที่ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
อดีตเด็กจบใหม่ไฟแรงผู้มีความฝัน…
ฝันอยากทำอาชีพนั้น ฝันอยากทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ แต่สุดท้ายพอเข้าสู่วัยทำงานจริง ไฟที่เคยลุกโชนเหล่านั้นกลับมอดดับไป
‘Burnout Syndrome หรือภาวะหมดไฟในการทำงาน’ ไม่ใช่เรื่องผิด และไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด
เรียกได้ว่าแทบจะเป็นความรู้สึกที่คนวัยทำงานทุกคนต้องเจอ ต่างกันแค่ว่าคน ๆ นั้นจะรู้สึกช้าหรือเร็ว แล้วจะจัดการกับมันได้ไหมเท่านั้นเอง
บางคนอาจหมดแพชชันกับงานนั้นตอนที่ทำมันมานานหลายปี ในขณะที่บางคนอาจหมดไฟตั้งแต่ตอนที่เริ่มทำงานใหม่ ๆ อาจเพราะงานที่ทำไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง จนรู้สึกล้มเหลวอยู่บ่อย ๆ หรือมีปัญหาค้างคาใจที่ไม่ได้รับการแก้ไขให้กระจ่าง จนสุดท้ายก็ค่อย ๆ สะสมเรื้อรังกลายเป็นความรู้สึกเหนื่อยหน่ายจนเข้าขั้น Burnout Syndrome หรือหมดไฟไปนั่นเอง
Burnout Syndrome จากความเครียดสะสม สู่กำลังใจที่มอดดับของคนวัยทำงาน
‘Burnout Syndrome หรือภาวะหมดไฟในการทำงาน’ คือ อาการเบื่อหน่ายงานที่ทำ จนอาจลามไปถึงความรู้สึกเบื่อสภาวะแวดล้อมรอบข้างอย่าง ออฟฟิศ เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้าด้วย
อาการหมดไฟของบางคนนั้นอาจรุนแรงจนถึงขั้นกลายเป็นความรู้สึกหดหู่ ซึมเศร้า ส่งผลให้อารมณ์แปรปรวนจนคนรอบข้างไม่อยากเข้าใกล้ หงุดหงิดบ่อย ฉุนเฉียวง่าย ขี้ระแวง ขี้กังวล หรือบางคนถึงขั้นไม่อยากไปทำงาน จนขาดลามาสาย ไม่ยอมส่งงานให้ตรงเวลา แม้รู้ว่าโดนหัวหน้าด่าแน่ แต่ก็บังคับตัวเองไม่ได้จริง ๆ
เมื่อความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นสักพักแล้วก็จะทุเลาลง แต่อีกไม่นานมันก็จะวนกลับมาใหม่เมื่อไม่ได้รับการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด
ทางแก้ที่ตรงจุด คงหนีไม่พ้นการเข้าทำความเข้าใจสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น
Burnout Syndrome เกิดขึ้นจาก ‘ความเครียดสะสม’ หรือความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในจิตใจมาเป็นเวลานาน เมื่อไม่ได้รับการเยียวยาอย่างถูกวิธี ความรู้สึกเหล่านั้นก็จะค่อย ๆ กัดกินจิตใจ ทำลายความรู้สึก จนกระทั่งส่งผลต่อพฤติกรรมและงานที่เราทำอยู่นั่นเอง
ไม่ได้มีแค่คุณที่รู้สึกหมดไฟ เพียงแต่บางคนแสดงอาการไม่เหมือนเรา
บางคนจะรู้สึกเหนื่อยล้าทางอารมณ์ เบื่อหน่ายสิ่งรอบข้าง ไม่อยากทำงาน หรือก็คงจะเกลียดเช้าวันจันทร์แบบเข้าไส้
ในขณะที่บางคนจะเริ่มคิดลบต่อตัวเอง สูญเสียความเชื่อมั่น ไม่ไว้ใจในความสามารถและศักยภาพของตัวเอง จนส่งผลให้ไม่กล้าลงมือทำอะไรสักอย่าง หรือบางคนก็มีท่าทีห่างเหินจากเพื่อนที่ทำงานหรือลูกค้า ไม่อยากสุงสิงกับใคร แม้จะรู้ตัวว่าสิ่งที่ทำส่งผลกระทบต่องานก็ตาม
ทางหนีทีไล่ เราจะออกจากวังวนหมดไฟได้อย่างไร ?
อันดับแรก ยืนมองตัวเองในกระจก แล้วถามคน ๆ นั้นดูว่า คุณยังอยากทำงานนี้อยู่ไหม มันคือตำแหน่งงานที่คุณใฝ่ฝันอยู่หรือเปล่า หรืออันที่จริงแล้วคุณเบื่อมันเต็มทน
หากคำตอบคือ ‘พอกันที..ฉันอยากเปลี่ยนงาน!’ ก็ขอให้คุณทบทวนดูอีกรอบ แล้วถ้าหากมีเหตุผลเพียงพอ ประมาณว่า เพื่อนในออฟฟิศนิสัยแย่ หัวหน้าไม่เป็นกลาง วัฒนธรรมองค์กรที่ป่วนจิต ก็ขอให้คุณถอยออกมาหลาย ๆ ก้าว แล้วตั้งหลักใหม่ มองหางานที่เหมาะกับคุณ ในบริษัทที่เข้ากับคุณได้ แล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แต่ถ้าคุณยังรักงานนั้น และคิดว่ามันใช่ที่สุด
สิ่งที่คุณต้องทำคือ ‘ปรับตัว’ และ ‘ปรับความคิด’
คนส่วนใหญ่ตกอยู่ในภาวะหมดไฟเพราะกดดันตัวเองมากเกินไป ไม่รู้จักยืดหยุ่น แถมยังเอาปัญหาทุกอย่างเก็บยัดใส่หัวของตัวเองไว้ จนมันกลายเป็นระเบิดเวลาอยู่ในหัว เพราะฉะนั้นคุณต้องปล่อยวางเสียบ้าง บางงานผิดพลาด บางงานล้มเหลว ก็ค่อย ๆ แก้ไขกันไป
จำเอาไว้..คุณไม่จำเป็นต้องเก่งไปเสียทุกเรื่อง แค่ทำมันให้ดีและพัฒนาต่อไปก็พอ
เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มเหนื่อยหน่ายงานที่ทำ คุณอาจลองเปลี่ยนสถานที่ทำงาน ปรับตำแหน่งสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ หรือลองออกไปหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ นอกออฟฟิศดูบ้าง เพราะบางครั้งความจำเจก็ทำให้คุณรู้สึกอึดอัดได้เหมือนกัน
นอกจากนี้ เรายังอยากจะขอให้คุณแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันให้ได้ เพราะฉะนั้น หากเหนื่อยนัก ก็อย่าเพิ่งขนงานกองโตกลับไปทำที่บ้าน เพราะนี่คือส่วนหนึ่งที่ทำให้คนหมดไฟมานักต่อนักแล้ว ท่องไว้..ถึงแม้จะเต็มที่กับงาน แต่คุณต้องมีเวลาให้ตัวเองด้วย ใส่ใจตัวเองให้เยอะ ดูแลความรู้สึกตัวเองให้มาก แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง 🙂
อ้างอิง
1) บทความเรื่อง Burnout Syndrome อย่ารอให้หมดไฟในการทำงาน โดยศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ จากเว็บไซต์ https://www.bangkokhospital.com/content/burnout-syndrome
. . .
บทความโดย: ณัฐริกา หลิมไทยงาม
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels