จากลูกพ่อค้าหาบเร่ที่จบการศึกษาเพียงแค่ ป.4 สู่เส้นทางการดิ้นรนจนกลายมาเป็นเจ้าของอาณาจักรอสังหาฯ อันดับต้น ๆ ของประเทศไทย
ทุกคนต่างก็มีความฝันที่จะได้เป็นหนึ่งในบุคคลที่ประสบความสำเร็จแต่น่าเศร้าที่ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนสำเร็จได้น้อยก็คือต้นทุนชีวิตที่ดันเป็นปัจจัยสำคัญที่เลือกไม่ได้เสียอย่างนั้น หากให้พูดกันตามตรงก็คงไม่มีใครอยากเกิดมาเส้นทางที่ขรุขระและไม่ราบรื่นหรอกจริงไหมเพราะใคร ๆ ก็อยากให้ความฝันที่ตนเองวาดไว้เกิดขึ้นจริงในสักวัน
คุณคิดว่าเด็กที่ไม่มีต้นทุนในชีวิตเลยจะมีโอกาสเข้าใกล้ความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน?
ถ้าใครเคยมีประสบการณ์หรือเคยสัมผัสความยากลำบากมาแล้วจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ซึ่งก็คงไม่ต่างกับ “เด็กชายทองมา” ที่ในตอนนั้นเป็นเพียงลูกพ่อค้าหาบเร่ขายกระเพาะปลาและแม่ที่ทำเกษตรกรรมในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เขามีอาชีพเสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการรับจ้างเก็บละมุดและรับกะละแมจากแม่ไปขายต่อที่โรงเรียนเพื่อแลกกับเม็ดเงินไม่กี่สตางค์หรือมากสุดก็คงได้แค่ไม่กี่บาท จะเรียกได้ว่าทองมาคือเด็กที่เติบโตมาจากการค้าขายแบบติดดินมาก ๆ เลยก็ว่าได้
เมื่อเด็กชายทองมาเรียนจบชั้น ป.4 ก็ต้องหยุดความฝันไว้เพียงเท่านั้นเพราะทางครอบครัวไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จะส่งเสียให้เขาได้เรียนต่อในระดับที่สูงกว่านี้ จากนั้นจึงได้ออกมาทำงานเป็นลูกจ้างร้านเภสัชและงานอื่น ๆ ที่เด็กคนหนึ่งพอจะทำได้และเท่าที่ตัวเขาเองรับไหวในตอนนั้น แต่ถึงความฝันจะริบหรี่แต่เขาก็ไม่เคยหยุดฝันเพราะในความคิดของเด็กคนหนึ่งที่เติบโตมาท่ามกลางความยากลำบากจึงคิดอยู่เสมอว่าหนทางเดียวที่จะทำให้เขาออกจากวังวนของความยากจนได้นั่นก็คือการศึกษา
หลังจากทำงานมาได้พักหนึ่งประจวบเหมาะที่ช่วงนั้นได้ทำงานเป็นลูกจ้างร้านทองแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ จึงเริ่มเก็บหอมรอมริบจนมีเงินพอที่จะส่งตัวเองให้ได้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งความพยายามและความใฝ่รู้ของเด็กชายทองมาในตอนนั้นก็พาให้เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และเมื่อจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายก็ได้สอบเอ็นทรานซ์สู่รั้วจามจุรีในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาการโยธา พอได้เข้าถึงระบบการศึกษาถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเคยคิดไว้นั้นไม่ผิดเลยเพราะสิ่งที่ทำให้ชีวิตของคนคนหนึ่งที่เคยจบการศึกษาขั้นต้นแค่ ป.4 ได้มองเห็นโลกที่กว้างขึ้น ได้รับโอกาสใหม่ ๆ และการยอมรับจากสังคมเพิ่มมากขึ้นก็เพราะการศึกษา
หลังจากเรียนจบก็เริ่มต้นสู่สายอาชีพตามที่ได้เล่าเรียนมานั่นก็คือการเป็นวิศวกรให้กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนจะหันมาเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างในยุคที่วิศวกรรมเฟื่องฟูโดยอาศัยความรู้ที่เก็บเกี่ยวมาจากการทำงานตลอดทั้งชีวิตไม่ว่าจะเป็นการค้าขายหรือด้านความรู้เฉพาะในสายอาชีพทั้งในเรื่องของการประเมินราคาที่ดิน การเลือกทำเลก่อสร้าง รวมไปถึงการพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงที่สุด จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลควบคุมการก่อสร้างจากบริษัทใหญ่ ๆ อีกหลายโครงการ
ใครจะรู้ว่าบนเส้นทางที่ยากลำบากและข้อจำกัดในชีวิตที่มีอยู่อย่างไม่จำกัดนั้นจะไม่สามารถขีดกั้นความฝันของเด็กคนหนึ่งให้หยุดความพยายามแล้วก้มหน้ารับชะตากรรมที่ตัวเองเลือกไม่ได้ เด็กชายทองมาคือคนที่ฉีกกฎทุกกอย่างที่ตีกรอบชีวิตของตัวเองเอาไว้ให้กลายเป็นการเรียนรู้และเป็นบททดสอบที่ทำให้ชีวิตของเขาเติบโตขึ้นจนได้กลายมาเป็นเจ้าของอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยอย่าง “บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)” หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ “พฤกษา” ในปัจจุบัน
พฤกษาสร้างความสำเร็จด้วยแนวคิด “ปลูกบ้านในใจคน”
1. ส่งต่อบ้านที่ดีในราคายุติธรรม
การส่งต่อบ้านที่ดีในราคาที่สามารถเอื้อมถึงง่ายให้กับลูกค้าทุกระดับคือเป้าหมายสูงสุดของคนทำบ้าน ดังนั้นจุดประสงค์จึงไม่ใช่เพียงแค่ส่งต่อบ้านที่สวยหรือดูดีเพื่อการสร้างภาพลักษณ์เพียงอย่างเดียวแต่พฤกษาใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่การเลือกทำเลที่ดินไปจนถึงการลงเสาเข็มต้นแรก เพราะเชื่อว่าการส่งมอบบ้านก็เหมือนกับการได้มอบชีวิตที่ดีให้กับเจ้าของบ้านและให้เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ๆ ภายใต้ความสงบร่มรื่นเหมือนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ชื่อ พฤกษา
2. เริ่มต้นจากตลาดล่าง สู่ตลาดกลางและตลาดบน
รูปแบบการดำเนินงานของคุณทองมานั้นชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาต้องการให้ทุกคนมีบ้านไม่ว่าจะเป็นชนชั้นไหนก็ตาม เพราะเขาก็เคยผ่านทุกช่วงชีวิตมาแล้วจึงเข้าใจว่าบ้านแบบไหนที่คนอยากมี บ้านแบบไหนที่ลูกค้าต้องการ เริ่มต้นจากตลาดล่างที่มีรายได้ไม่สูงมาก สู่ตลาดกลางที่เป็นบ้านเดี่ยวก่อนจะขยายการเติบโตสู่การสร้างคอนโดหรูให้กลุ่มลูกค้าที่มีทุนทรัพย์สูง
3. ซื้อแล้วสร้าง ให้ทุกคนมีโอกาสเป็นเจ้าของบ้านบนที่ดินทำเลดี
คุณทองมาเป็นคนที่ได้ชื่อว่า “เซียนเรื่องการฟันขาดที่ดิน” จากประสบการณ์ที่สั่งสมมามากกว่าครึ่งชีวิต ซึ่งลักษณะการเลือกที่ดินจะคำนึงไปถึงสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก่อนเป็นอันดับแรกโดยอาศัยหลักการใช้บริการบริษัทนายหน้าหลาย ๆ เจ้าเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองซื้อขายกับเจ้าของที่ดิน
แนวทางการวางแผนคือเลือกทำเลที่จะให้เป็นที่ตั้งโครงการก่อนแล้วจึงค่อยไปจัดหาที่ดิน เมื่อมีที่ดินจากนายหน้าหลาย ๆ เจ้ามานำเสนอขายก็จะเป็นช่วงที่อำนาจการต่อรองค่อนข้างสูงเพราะสามารถเลือกได้เลยว่าจะซื้อที่ดินจากเจ้าไหนและต้องการราคาเท่าไหร่ หากข้อตกลงไม่ได้อยู่ในจุดที่พึงพอใจต่อกันก็เพียงแค่เลือกที่ดินจากเจ้าของรายใหม่ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ได้ที่ดินมาในราคาที่ไม่สูงมาก การบริหารจัดการต้นทุนก็จะถูกลง และด้วยแนวคิดที่ซื้อแล้วสร้างทันที พฤกษาเลยไม่มีการสะสมที่ดินและไม่มีดอกเบี้ยที่ดินตามมาในภายหลัง ทำให้โครงการที่สร้างมาแต่ละโครงการราคาต่ำกว่าคู่แข่งค่อนข้างมากซึ่งนั่นก็เป็นข้อดีและได้กลายมาเป็นหนึ่งในจุดแข็งของพฤกษาจนถึงปัจจุบัน
บางครั้งต้นทุนชีวิตที่มีจำกัดก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าคนคนนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จเสมอไปเพราะหากย้อนมองดี ๆ จะพบว่าสิ่งที่ตีกรอบชีวิตเอาไว้ไม่ให้เกิดการพัฒนาก็คือทัศนคติและความคิดของตัวเราเอง ฉะนั้นหากจะเริ่มวางแผนความสำเร็จในรูปแบบของตัวเอง คนที่ต้องเอาชนะให้ได้ตั้งแต่ตอนแรกก็คือตัวเอง เมื่อคิดว่าต้องทำให้ได้ อุปสรรคที่เข้ามาก็คงเป็นได้เพียงแค่ทางผ่านไปสู่ความสำเร็จเท่านั้นเอง
อ้างอิง:
“ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์”…มหาเศรษฐีหัวใจติดดิน จาก https://www.posttoday.com/politic/report/384153
ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ทุนชีวิต-ธุรกิจ “ยิ่งให้ก็ยิ่งได้” จาก https://bit.ly/3tO4yNO
กลยุทธ์สร้างความร่ำรวย “ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์” จาก https://www.softbankthai.com/Article/Detail/1661
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
เรียบเรียงโดย: ศุภธิดา รัสพันธ์
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Freepik