คุณลองคิดดูว่าในชีวิตของเรามีสถานที่ไหนบ้างที่เราไม่อยากเข้าไปมากที่สุด
หากลองมาคิดดูสถานที่แรกคือห้องขัง ไม่มีใครอยากทำผิดจนตัวเองต้องเข้าไปอยู่หลังลูกกรงแน่นอน เพราะมันเป็นสถานที่ที่อึดอัดใจมากที่สุด การได้เข้าไปอยู่จะกลายเป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำมากที่สุด แล้วตัวคุณจะมีบันทึกอยู่ในสารระบบแห่งความผิดตลอดชีวิตว่าเคยทำผิดมา
ส่วนอีกสถานที่คือโรงพยาบาล ถ้าให้เลือกเราคงอยากเดินเข้าโรงพยาบาลมากกว่าเดินเข้าห้องขัง เพราะโรงพยาบาลในใจของเราคือสถานที่ที่เราไปรักษาตัวคที่หนึ่งที่เรายินดีที่จะไปเยี่ยมเยือน
ถึงอย่างนั้น ก็คงไม่มีใครอยากเดินเข้าไปในโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็นอีกเช่นกันเพราะการเข้าไปใช้บริการแต่ละครั้งก็เป็นที่รู้กันดีว่าเสียค่าใช้จ่ายมากแค่ไหน ยิ่งอยู่นาน ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งสูงไปด้วย
เมื่อพูดถึงโรงพยาบาลซึ่งเป็นธุรกิจด้านสุขภาพก็ถือว่าเป็นธุรกิจอีกประเภทที่ยังต้องพึ่งพาธุรกิจซักรีดไม่ต่างจากธุรกิจโรงแรมเลย เพราะผู้ป่วยต้องเข้ามารับการรักษาที่โรงพยาบาล แต่ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องไม่สนุกเหมือนการเที่ยว ไม่เข้าใครออกใคร ไม่มีฤดูกาล เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด และไม่มีใครอยากเป็นจนต้องเข้าโรงพยาบาล
แล้วใครบ้างที่มีความเสี่ยง แน่นอนว่าหมอและพยาบาลยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากเชื้อโรคอยู่ตลอดโดยเฉพาะเชื้อที่มาจากเสื้อของผู้ป่วยที่นอนพักรักษาตัว
การอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายเป็นสิ่งที่ต้องทำกันอยู่แล้ว แต่เสื้อผ้าที่ใส่ในระหว่างการทำงานต่างหากที่จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษโดยเฉพาะเสื้อผ้าของผู้ป่วย คุณหมอที่สวดชุดผ่าตัด เพราะบนเสื้อที่พวกเราเห็นเต็มไปด้วยเชื้อโรคสารพัด
สำหรับร้านซักผ้า การรับผ้าจากโรงพยาบาลมาซักให้มีรายละเอียดมากเป็นพิเศษ เพราะโรงพยาบาลทุกแห่งมีการกำหนดมาตรฐานของโรงงานทุกแห่งที่เข้ามาทำสัญญา และต้องปฏิบัติตามให้ได้ อาทิ การมารับส่งผ้าตามเวลาที่กำหนด, ที่ตั้งโรงงานต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมตามที่กำหนดให้ และต้องมีเครื่องซัก เครื่องอบ เครื่องรีด ให้ได้จำนวนตามที่กำหนด
ทั้งนี้ ความสำคัญของการซักผ้าให้กับโรงพยาบาลคือ การเลือกยี่ห้อของสารเคมีที่นำมาซักผ้า และอัตราส่วน ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงงานต้องใส่ใจรายละเอียด เพราะสารเคมีมีผลต่อความสะอาดบนเนื้อผ้าและการฆ่าเชื้อโรค
นอกจากนี้ การซักผ้าโรงพยาบาลยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจ เพราะก่อนซักก็ต้องคอยมาแยกผ้า เช่น ผ้าที่ใช้ในการผ่าตัดหรือชุดของผู้ป่วยซึ่งมีโอกาสติดเชื้อสูงจะถูกแยกซักกับผ้าที่ไม่ติดเชื้ออย่างชุดของพยาบาลและเสื้อกาวน์ของหมอ
ขั้นตอนการซักยังไม่หมดเท่านี้ เพราะผู้ที่เป็นคนสัมผัสผ้าจำเป็นต้องสวมชุดป้องกัน ในระหว่างการซักเพื่อป้องกันเชื้อโรค ไม่สามารถใส่แค่หน้ากากและถุงมือยางได้
ยิ่งไปกว่านั้น ภายในห้องซักผ้าติดเชื้อก็ต้องเป็นห้องที่ถูกดูดอากาศออกหมดกลายเป็นห้องที่เรียกว่า “ห้องความดันลบ” ในขณะที่โซนผ้าสะอาด จะมีการอัดอากาศที่ผ่านการกรองเข้ามาในห้องให้มีปริมาณออกซิเจนมากกว่าปกติถึง 20 เท่า ภายใน 1 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ห้องเกิดความอับชื้นส่งผลเสียต่อผ้า
จะเห็นว่าการซักผ้าที่มาจากโรงพยาบาลนั้น ต้องใส่ใจในรายละเอียดมากขนาดไหน เสื้อผ้าจากโรงพยาบาลจึงเปรียบเหมือนผู้ป่วยที่เราต้องดูแลให้ดีในทุกขั้นตอนของการทำความสะอาด
เพราะผู้ป่วยไม่ทางรู้ว่าเลยว่านอกเหนือจากความเจ็บป่วยที่ต้องอยู่ติดตัวจนกว่าจะหาย เสื้อผ้า และเครื่องนอน ที่สัมผัสตั้งแต่วันแรกจะมอบความสะอาดและความสบายใจให้พวกเขามีช่วงเวลาที่ดีในโรงพยาบาล
เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital