ถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักส่วนประกอบของธุรกิจกันไปพอสมควร รวมถึงเข้าใจมากขึ้นว่าการลงมือนั้นต้องมีอะไรบ้าง และมั่นใจได้เลยว่าความคิดอาจถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายแรก คือกลุ่มคนที่คิดว่าการทำธุรกิจนั้นก็ไม่ได้เข้าใจยากเท่าไหร่สักหน่อย บางเรื่องเป็นสิ่งที่เราพอจะรู้กันอยู่แล้ว เพียงแค่เพิ่มข้อมูลอีกนิดหน่อย ก็น่าจะพร้อมลงมือได้แล้วล่ะ
ฝ่ายที่สอง คือกลุ่มคนที่มองว่าต่อให้การทำธุรกิจจะคล้ายกับการใช้ชีวิต คือต้องมีความฉลาดในการคิด และตัดสินใจให้ถูก แต่ก็ยังห่างไกลเกินกว่าจะทำด้วยตัวคนเดียวอยู่ดี
โดยทั้งสองแนวคิดนี้ก็มีส่วนถูกอยู่ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน ต่างคนต่างมีเหตุผลคนละแบบ และไม่แปลกที่ผู้คนที่กำลังมองหาช่องทางใหม่จะมีมุมมองที่ต่างกันในยามเริ่มต้น
สังเกตดีๆ ทักษะการบริหารอยู่กับเรามาตั้งแต่เด็ก เริ่มตั้งแต่พ่อแม่บางคนเริ่มให้เงินเป็นรายสัปดาห์เพื่อให้ลูกๆของเขาจัดการค่าใช้จ่ายในแต่ละวันด้วยตัวเอง
หรือแม้แต่การจัดการเวลา หลายคนน่าจะเคยเจอวันยุ่งๆเป็นของตัวเอง แล้ววิธีที่จะทำให้ผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นได้ก็คือการบริหารเวลาที่ดี ลำดับความสำคัญให้ผ่านพ้นในแต่ละวัน
จะบอกว่าเรื่องราวในอดีตพวกนี้คือการปูพื้นฐานชั้นดีให้ทุกคนมีทักษะการบริหารที่ดี เพราะต่อให้เป็นกิจการที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ถ้าไม่มีการฝึกสอนอย่างดีก็มีโอกาสทิ้งชื่อได้เหมือนกัน
และก่อนทุกคนจะกลายเป็นคนที่บริหารเก่ง บางทีแค่บริหารให้เป็น ก็ทำธุรกิจธรรมดาให้กลายเป็นโด่งดังขึ้นมาด้วยน้ำมือของตัวเองเหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้คือความรู้เบื้องต้น รูปแบบธุรกิจมีจุดเด่นเฉพาะด้าน แล้วถ้ารู้ว่ารูปแบบไหนเหมาะกับใครก็จะทำให้แนวทางของแต่ละบทบาทชัดเจน เมื่อนั้นการดำเนินต่อจากนี้ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
พักหลังมาตัวย่อภาษาอังกฤษในแวดวงการธุรกิจเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น หลายคำศัพท์ถูกนำมาใช้กันบ่อยครั้ง และเป็นโอกาสดีที่จะทำความรู้จักอย่างจริงจัง
ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกลุ่มตระกูล B ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น B2C ,B2B หรือ B2B2C นี่คือสิ่งที่หากจะเริ่มธุรกิจ จำเป็นต้องรู้เพื่อที่จะเจอโอกาสที่ใหญ่กว่าเดิม
ความเข้าใจดั้งเดิมของการทำธุรกิจก็คือมีส่วนประกอบคือ ผู้ขาย และ ผู้ซื้อ แบบนี้ถูกเรียกว่า B2C ย่อมาจาก Business to Customer คือการซื้อขายระหว่างเจ้าของธุรกิจ กับผู้บริโภคที่เป็นรายบุคคล จะใช้การติดต่อกันโดยตรงอย่างที่เราเคยเห็นกันทั้งร้านอาหาร เสื้อผ้า หรือ โรงแรมและสายการบิน เป็นต้น
จุดเด่นของรูปแบบธุรกิจประเภทนี้คือสะดวกสบาย ซื้อมา-ขายไป ตามกลไกของตลาด แต่บางครั้งนี่ก็อาจได้ผลลัพธ์แบบเดิม
ยุคสมัยเปลี่ยนไปหลายอย่างที่คิดว่ารู้ดีกลับกลายเป็นว่าวันหนึ่งพบว่าเราแทบไม่รู้อะไรเลย และเช่นกันนอกจากรูปแบบเดิมแล้ว ยังมีอีกแบบที่ไม่ได้เพิ่งมานิยม แต่ก็ถูกใช้งานมานานไม่แพ้กัน นั่นคือรูปแบบ B2B
B2B หรือ Business to Business คือการติดต่อทำการค้ากันระหว่างธุรกิจกับธุรกิจด้วยกัน และจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความต้องการทางธุรกิจให้เป็นไปอย่างกว้างขวางขึ้น
ซึ่งในรายละเอียดก็มีด้วยกันต่างๆ ทั้ง การผลิตและบริการสินค้า อย่างเช่นผลิตสินค้าเพื่อให้ธุรกิจนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป หรือสร้างช่องทางออนไลน์เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการมากขึ้น
ยิ่งสำหรับการทำธุรกิจอาหารก็สามารถประยุกต์ได้ทั้งสองแบบ ลำพังจะให้รอลูกค้าเข้ามาหาทีละคน สองคน คงไม่ทันการเอาพอดี แต่ถ้าเราพาตัวเองไปอยู่ในที่ใหม่ๆ เชื่อได้เลยว่าโอกาสใหม่ๆก็จะตามเข้ามาในอีกไม่ช้า
นอกจากรายได้ประจำจากหน้าร้านที่เป็นไปในทุกวัน หรือรูปแบบธุรกิจแบบ B2C แล้ว ถ้าหากเรียนรู้การปรับตัวก็สามารถทำในรูปแบบของ B2B ได้เช่นเดียวกัน อาจเป็นการรับจ้างทำข้าวกล่องให้พนักงาน หรือรับทำจัดเลี้ยงในที่ประชุมก็ทำให้เพิ่มทางเลือกของรายได้มากขึ้น
ไม่มีคำว่าสายสำหรับการหาช่องทางใหม่ๆ ของตัวเอง และสำหรับการทำร้านอาหารแบบ Cloud Kitchen ในการประหยัดพื้นที่ เวลา และงบประมาณ ก็อาจทำให้เพิ่มมูลค่าในการทำสิ่งอื่นเพิ่มเข้าไปด้วย เครื่องมือออนไลน์มีรอบตัว ใช้ให้คุ้มค่า และวันหนึ่งจะรู้ว่าที่ผ่านมายังไม่ได้ทำอะไรอีกเยอะเลย
มาถึงรูปแบบสุดท้ายที่อยากให้รู้จักคือ B2B2C หรือ Business to Business to Customer อธิบายง่ายๆคือ การทำธุรกิจระหว่างเจ้าของธุรกิจสู่เจ้าของธุรกิจและจากเจ้าของธุรกิจขายไปสู่ผู้บริโภค ฟังดูสับสนเล็กน้อย แต่เชื่อหรือไม่ว่านี่คือรูปแบบที่วนเวียนอยู่รอบตัวเราแทบทุกคน หรือไม่แน่เมื่อ 5 นาทีที่แล้ว คุณยังได้อยู่ในวงโคจรของการทำธุรกิจแบบนี้อยู่เลย
เพราะกำลังหมายถึงการนำผู้ซื้อและผู้ขายเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกัน นี่คือโมเดลที่มีการหมุนเวียนรายได้กันสูงที่สุดแห่งหนึ่ง คาดกันว่าอยู่ที่ราวเก้าถึงสิบหลักทีเดียว!
และการทำธุรกิจแบบนี้ทุกฝ่ายได้ผลดีด้วยกันทั้งนั้น ในมุมผู้ขายเองก็ได้กลุ่มลูกค้าที่ตลาดกว้างขวางมากขึ้น หรือจะในมุมของผู้ซื้อก็มีตัวเลือกให้ใช้จ่ายกันอย่างเต็มศักยภาพ
แล้วถ้าพูดในโลกอนาคตนี่อาจเป็นพื้นที่ของผู้คนที่ยิ่งใหญ่กว่าในวันนี้ ดังนั้นเองมาถึงตรงนี้การพาร้านค้าของตัวเองไปอยู่ในเวทีที่ดุดันแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้เป็นอันขาด
โดยรวมจะเห็นได้ว่าธุรกิจนั้นกว้างเกินกว่าจะย่อขยายให้ละเอียดได้ แต่ไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำความเข้าใจ ยิ่งรู้ลึกมากเท่าไหร่ โอกาสก็จะเปิดกว้างสำหรับผู้ที่รู้ก่อนเสมอ
แล้วเมื่อรู้แล้ว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้วว่าจะจัดการอย่างไรกับมัน จะเรียนรู้เพื่อลองผิดลองถูกดูสักตั้ง หรือจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเพื่อลดความเสียหาย ก็สุดแท้ตามแต่จะเลือก
เพราะธุรกิจไม่เคยทำให้ใครต้องเจ็บปวด มีแต่คนเหล่านั้นที่เจ็บปวดเอง จากความที่ยังรู้ไม่มากพอต่างหาก
แล้วคุณเป็นคนแบบไหนอยู่ในวันนี้…
ภาพประกอบจาก : Pexels
ที่มาจาก Fanpage : CEO Restaurant