“อย่าเปลี่ยนไปตามกระแส จนสุดท้ายลืมความเป็นตัวเอง”
หนึ่งในไดอะล็อกสุดคลีเช่ที่ได้ยินเมื่อไหร่ก็ต้องร้องอี๋ตาม ๆ กัน แต่เมื่อมองลงไปในรายละเอียด คำนี้กลับให้ความรู้สึกบางอย่างที่หนักแน่นและทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก ชวนให้นึกย้อนมาที่ตัวเองว่าทุกวันนี้มีอะไรที่เรากำลังทำอยู่โดยไม่ใช่ตัวเองอยู่หรือเปล่า
วันก่อน ผู้เขียนได้มีโอกาสได้นั่งดูหนังเก่าเรื่องหนึ่ง หลังจากที่ห่างหายจากการรับชมไม่ว่าจะจอแก้วหรือจอเงินไปนาน เพราะรู้สึกว่าช่วงหลังมานี้ไม่ค่อยมีหนังหรือละครที่น่าสนใจและถูกจริตเราสักเท่าไหร่ (แม้ว่าจะมีสตรีมมิ่งมากมายก็ตาม) บวกกับเป็นเวลาเดียวกับที่ได้ห่างจากอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด นั่นทำให้สถานการณ์บังคับต้องโฟกัสกับสิ่งตรงหน้าเพียงอย่างเดียว
ระหว่างรับชมโดยที่ไม่คิดอะไร มือกำลังหยิบขนมเข้าปากอย่างเพลิดเพลิน กลับรู้สึกประหลาด ทั้งแปลกใหม่แต่ก็เหมือนเคยเกิดขึ้นแล้ว อาจด้วย Mood and Tone ของหนังที่ทำให้มีกลิ่นอายของความคลาสสิคอะไรบางอย่าง ยิ่งส่งให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
จึงได้มีเวลาพิจารณาและพบว่าความจริงว่า มันไม่ใช่ความรู้สึกใหม่เลย แต่มันเป็นความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นแล้วแต่เรากลับหลงลืมไปเอง เชื่อว่าตอนเด็กใครหลายคนคงน่าจะรู้สึกว่าหนังหรือละครสมัยก่อนทำไมถึงได้ดูสนุกกว่าสมัยนี้ก็ไม่รู้
อาจเพราะว่าสมัยก่อนช่องทางการรับชมสิ่งบันเทิงยังไม่หลากหลายเท่าในยุคปัจจุบัน การจะหาสิ่งบันเทิงใส่ตัวก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง แต่ต่างกับยุคนี้ที่ช่องทางเต็มไปหมดจนคนส่วนใหญ่สิงสถิตตัวเองอยู่ในโลกออนไลน์เสียมากกว่า จนทำให้ลืมความสนุกแบบธรรมดาไป
เมื่อได้กลับมาทำอะไรที่เคยชอบในอดีตหรือวัยเด็กก็จะให้อารมณ์ความรู้สึกที่แปลกใหม่ พร้อมกับดึงช่วงเวลาเก่า ๆ ความฝันเก่า ๆ กลับมาด้วย ทำให้นึกและถามตัวเองอีกครั้งว่าความฝันของเราคืออะไรกันแน่ และปัจจุบันยังอยู่ในเส้นทางเดิมหรือได้เปลี่ยนเส้นทางไปแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวได้ทดลองชีวิตในแบบที่เราคือคนควบคุมมันด้วยตัวเอง ไม่มีใครคอยมาประคับประคองให้อยู่ในลู่ทาง ก็ย่อมทำให้สับสนจนเกิดการเปลี่ยนแปลง จนหลายคนระหกระเหินได้ทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับความฝันในวัยเด็ก
ช่างน่าเสียดายที่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป สิ่งที่เรียกว่าความฝันก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่นั่นก็คือกฎของธรรมชาติที่ไม่มีอะไรอยู่ยืนนานไปตลอดเสมอ
แต่ก็ยังน่าจะพอมีวิธีที่ให้ปรับจูนระหว่างสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ให้เชื่อมต่อกับความฝันที่ในอดีตของตัวเองได้อย่างเข้ากันมากที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขายังจำความฝันของตัวเองได้มากแค่ไหน
แล้วทุกคนยังจำสิ่งที่เคยบอกตัวเองในวัยเด็กไปหรือยัง ?
ครั้งยังเป็นเด็ก ความฝันของคนส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อมของสังคมในช่วงเวลานั้น บางทีการเห็นพ่อหรือแม่ทำงานอะไรสักอย่าง ลูกก็อยากทำอาชีพเดียวกัน หรือการเสพสื่อต่าง ๆ ก็ล้วนมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในความฝันทั้งสิ้น
ทำให้เมื่อโตขึ้นมาความชอบและความสนใจก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป แล้วอาชีพที่ทำอยู่ก็มักต่างจากที่เคยฝัน เมื่อรู้สึกเช่นนั้นก็ย่อมทำให้ผู้คนคิดว่าชีวิตนี้เราทำตามฝันไม่สำเร็จอีกแล้วสินะ เกิดความคิดในแง่ลบจนส่งผลกระทบไม่ค่อยดีในหลายเรื่องตามมา
จนลืมไปว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาตัดพ้อที่ทำตามฝันไม่ได้ แต่มันควรเป็นเวลาให้กำลังใจตัวเองที่เดินทางมาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะไม่สำคัญเลยว่าจะเริ่มต้นกับสิ่งไหน และจะสิ้นสุดกับที่ใด แต่อยู่ที่ว่าระหว่างทำหน้าที่ตรงหน้าอยู่นั้น เราได้ทิ้งอะไรเอาไว้บ้างให้กับชีวิตที่ผ่านมา
เคยได้ยินไหมว่า ถ้าหากเราพูดอะไรกับตัวเองซ้ำ ๆ สิ่งนั้นก็มักจะเกิดขึ้นจริงเสมอ นี่ไม่ใช่ความเชื่อที่เหนือการบรรยาย แต่เป็นการที่สมองของเราจะตอบสนองต่อการที่ทำอะไรย้ำ ๆ และทำแบบสม่ำเสมอ อย่างถ้าเราพูดแต่เรื่องบวกและมองตัวเองในกระจก สมองก็จะสื่อสารไปถึงจิตใต้สำนึกและให้คำพูดเหล่านั้นกับตัวเราได้รวมเข้าและไปในทิศทางเดียวกัน
ในเหตุผลเดียวกัน ถ้าเราพูดแต่สิ่งลบ คิดในแต่เรื่องที่ไม่ดี หรือดูถูกดูแคลนตัวเองมากเท่าไหร่ สมองก็จะจดจำและตอบสนองไปในแนวทางเช่นนั้น สุดท้ายชีวิตก็จะแสดงออกมาในแนวทางด้านลบแบบเสมอ
หากต้องการจะสร้างพลังงานของสิ่งดีในชีวิต แม้ว่าเจอเรื่องผิดหวังอย่างเช่น ทำไม่ได้ตามฝันของชีวิต เริ่มจากต้องหาข้อดีให้เจอแล้วเข้าใจไว้เลยว่าคนเราสามารถทำได้ดีในหลายเรื่อง ไม่จำเป็นเลยต้องทำได้ตามฝันเสมอ เพราะความฝันใช่ว่าจะเปลี่ยนกันไม่ได้สักที่ไหน
สร้างฝันจากสิ่งที่ทำอยู่ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน หาเป้าหมายให้เจอแล้วพูดกับตัวเองเสมอว่าเราจะทำมันได้ในสักวัน นี่ไม่ใช่การขายฝันลม ๆ แล้ง ๆ แต่คือการย้ำเตือนว่าเราทำได้ สร้างความมั่นใจในแบบที่ใครก็ให้เราไม่ได้ โดยต้องเชื่อในสิ่งที่พูดออกไปแล้วสิ่งนั้นก็จะเห็นผลได้ชัดเจน
โดยไม่มีเคล็ดลับตายตัวว่าต้องทำเมื่อไหร่หรือวิธีไหนดีที่สุด บางคนพูดตลอดเวลา หรือบางคนพูดในตอนตื่นนอน ก็แล้วแต่ความถนัด แต่พยายามพูดทุกวันอย่างน้อยสักสองครั้ง ที่สำคัญคือเมื่อพูดแต่เรื่องดี ๆ ให้เราฟังเสียงตัวเองไปด้วย เหมือนเป็นการตั้งสติเพื่อเป้าหมายที่รออยู่ข้างหน้า
ถ้าเป็นไปได้ให้ลองทำเป็นกิจวัตรประจำวัน พูดแต่เรื่องที่ดี ให้กำลังใจตัวเอง และย้ำเตือนเป้าหมายเสมอ จะคล้ายกับทฤษฎี 21 วัน ที่ว่ากันว่าหากทำอะไรติดต่อกัน 21 วันสิ่งนั้นจะกลายเป็นกิจกรรมที่ติดตัวเราไปตลอด อารมณ์ประมาณ ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร นั่งสมาธิ เป็นต้น
เพียงเท่านี้ ไม่ว่าชีวิตจะผิดหวังอีกสักกี่ครั้งหรือความฝันจะเป็นจริงไหมก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะเรามีสูตรเด็ดเพิ่มกำลังใจให้ตัวเอง ไม่ว่าความฝันใหม่จะถูกสร้างขึ้นอีกเท่าไหร่ก็จะทำให้มีแรงในการตามฝันเรื่อยมา แล้วเชื่อได้เลยว่าสักวัน “ความฝันจะต้องเป็นจริงแบบโกหกกันแน่นอน”
…
เรียบเรียงโดย: กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels