ในยุคสมัยที่คนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อมนั้น มีหลากหลายสิ่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตเราไปบ้างพอสมควรเริ่มตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างเช่น การที่คนออฟฟิศหันมาห่อข้าวใส่กล่องหรือปิ่นโตมาทานแทนการใช้กล่องโฟม หรือจะเป็นการที่ใช้แก้วน้ำหรือพกขวดน้ำแทนการใช้แก้วและขวดพลาสติก และไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ ที่คนรุ่นใหม่ออกมาขับเคลื่อนรณรงค์เรื่องของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
และในส่วนที่เป็นเรื่องของอนาคตและกำลังเป็นเทรนด์ที่นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังให้ความสนใจอยู่ขณะนี้ก็คือ เรื่องของรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ซึ่งจะรวมไปถึง รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) คือ การใช้พลังงานควบคู่กันทั้งจากเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้ น้ำมันและมอเตอร์ไฟฟ้ามาขับเคลื่อนร่วมกัน
อีกประเภท คือ รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) ซึ่งจะใช้พลังงาน 2 ประเภทควบคู่กันเหมือน HEV แต่สามารถเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จได้เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้า
และอีกประเภท คือ รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากเครื่องยนต์ และใช้พลังงานไฟฟ้าจากการชาร์จภายนอกเท่านั้น
ทีนี้พอนักลงทุนเริ่มทราบประเภทของ EV แล้ว ต่อมาก็เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์รถยนต์กันซักเล็กน้อย เพราะรถยนต์นั้น ถือกำเนิดขึ้นในปี 1886 และมีการผลิตแบบสายพานในอีกเกือบ 30 ปีถัดมา ซึ่งทำให้รถยนต์นั้นราคาเริ่มมีแนวโน้มลดลงเป็นอย่างมาก และมากจนคนทั่วไปเริ่มสามารถเอื้อมถึงได้
ซึ่งเป็นเวลากว่า 130 ปีมาแล้ว ที่รถยนต์เคลื่อนที่ทางบกชนิดนี้นั้นได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนไปทั่วทุกมุมโลก
แต่ถ้าเราลองย้อนไปอีก เราจะพบว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้านั้นได้ถูกคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1880 หรือในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกันกับรถยนต์แบบเครื่องยนต์สันดาป และในช่วงนั้นก็ยังได้รับความนิยมสูสีกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอีกด้วย และในช่วงเวลาอีก 30 ปีต่อมา ด้วยความเร็วที่ไม่ค่อยแรงและระยะการขับขี่ต่อการชาร์จที่สั้น ประกอบกับระบบถนนหนทางในยุโรปและสหรัฐฯ มีการพัฒนาที่มากขึ้น ซึ่งทำให้คนเดินทางระยะไกลได้มากขึ้น จึงทำให้รถยนต์ไฟฟ้านั้นได้ค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงไปพร้อมกับที่รถยนต์ที่ใช้นำมันได้กลายมาเป็นยานพาหนะทางบกแทน
และยังต้องใช้เวลาอีกเกือบศตวรรษกว่าที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะถูกพัฒนาจนกลับมาอยู่ในความสนใจของผู้บริโภคและถือว่าเป็นโอกาสหรือว่าน่านน้ำใหม่ให้นักลงทุนได้อีกครั้ง
เพราะจากข้อมูลที่ทราบกันว่าตอนนี้มีผู้เล่นหลายรายที่กระโดดลงมาเล่นในสนาม EV (Electric Vehicle) นี้ ไม่ว่าจะหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ แต่ช่วงนี้ก็ถือได้ว่าเป็นตลาดของเจ้าใหม่พอสมควรเพราะผู้เล่นที่ยู่ในตลาดเจ้าเดิมอาจจะปรับตัวไม่ทันกับเทรนด์รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังมาแรงอยู่ในขนาดนี้ โดยที่เราจะเห็นได้ชัดๆ ตอนนี้ก็คือจะมีผู้เล่นเจ้าหนึ่งที่โดดเด่นทั้งในแง่ของแบรนด์บุคคลและแบรนด์บริษัท ซึ่งนั่นก็ คือ Tesla ที่นำทีมบริหารโดย อีลอน มัสก์ และในด้านของบริษัทนั้นยอดขายปี 2564 เติบโตถึง 87% หรือทะลุ 9.36 แสนคันนั่นเอง ส่วนผู้เล่นเจ้าเดิมกับตลาดเดิมอย่าง TOYOTA นั้น ก็ถือได้ว่าออกตัวช้าแต่ก็ไม่ยอมให้ใครมา Disruption ได้ง่ายๆ ซึ่งในปี 2020 ก็ได้ปล่อยรุ่น TOYOTA bZ4X มาตีตลาดในสหราชอาณาจักรก่อน
ส่วนเจ้าอื่นๆ ที่เป็นผู้เล่นที่อยู่ในตลาดก็จะมี Nissan Nio และ Xpeng เป็นต้น ถือว่าการแข่งขันบนตลาดนี้เริ่มมีผู้เล่นพอสมควรแล้ว หรือของไทยเองนั้นก็ไม่ยอมน้อยหน้าเช่นกัน โดย ทางบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นั้นก็ได้มีการจัดตั้งบริษัทลูกร่วมกับ Partner มาลงเล่นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน ซึ่งบริษัทที่ว่านั้นก็คือ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด หรือ Arun Plus ซึ่งมีเป้าหมายว่าจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นในเร็วๆ นี้
และจากยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้านั้นจะเห็นมีการทำสถิติพุ่งสูงขึ้นทุกปี และตลาดที่มี Demand หรือ ว่าความต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คงจะหนไม่พ้นประเทศจีน ซึ่ง คิดเป็นร้อยละ 53 จากทั้งหมด 6.6 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มเป็น 2 เท่าเลยทีเดียว จากปี 2020 ส่วนประเทศที่มีความต้องการรองลงมาก็จะเป็นยุโรป และ อเมริกา ตามลำดับ
ซึ่งถ้ามองในแง่ของนักลงทุนนั้นก็อาจจะมองเห็นโอกาสบ้างแล้ว แต่ก่อนที่จะด่วนสรุปยังมีอีกชุดข้อมูลที่น่าสนใจสำหรับการประกอบตัดสินใจของนักลงทุนไม่ว่าจะมือใหม่หรือว่าเก๋าเกมแล้วก็ตาม
ซึ่งข้อมูลที่ว่านี้ก็คือผลสำรวจของประชากรคนไทยที่สนใจจะซื้อหรือไม่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทาง
ผู้เขียนเองก็ออกตัวก่อนว่าเป็นเพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะชักจูงหรือเชิญชวนให้ลงทุนใน EV แต่อย่างใด แต่ถ้าคิดว่าท่านนักลงทุนสนใจก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของท่านนักลงทุน
จากผลสำรวจระบุว่า จะมีกลุ่มผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าและไม่ได้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า และอีก 5 ปี ข้างหน้าจะมีความต้องการซื้อแค่ไหน ซึ่ง
ผู้ที่ใช้รถไฟฟ้าอยู่แล้วนั้น โดยส่วนใหญ่จะบอกว่าตัดสินใจเลือกรถยนต์ไฟฟ้า และมีเหตุผลอยู่ 3 ปัจจัยด้วยกันที่ทำให้ตัดสินใจซื้อ คือ
- ค่าใช้จ่ายในการใช้งานต่ำกว่า (81%)
- ดีต่อสิ่งแวดล้อม (73%)
- ชื่นชอบในเทคโนโลยี (59%)
โดยจะพบอีกว่าจะมีปัจจัยที่พบว่าไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ที่ใช้รถไฟฟ้าอยู่เลยนะนั่นคือเรื่องของ ยี่ห้อ และผลประโยชน์พิเศษอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น ที่จอดรถพิเศษเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
ถัดมาเป็นของผู้ที่ยังไม่เคยใช้รถยนต์ไฟฟ้า กลุ่มคนเหล่านี้ จะติดปัญหาหรือว่าประเด็นหลักในเรื่องของการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้า และอีกเหตุผลที่สำคัญที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องของสถานีชาร์จ เพราะในประเทศเรานั้นยังถือว่ามีค่อนข้างน้อยอยู่ ซึ่งส่วนนี้ทางภาครัฐและเอกชนก็กำลังเพิ่มเติมสถานีชาร์จตามจุดต่างๆ อยู่ตลอด ซึ่งนอกเหนือจากสถานีชาร์จไฟที่มีไม่เพียงพอสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแล้วยังจะมีในเรื่องของระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จที่สั้นจนเกินไปหรือว่าแทบออกจากต่างจังหวัดไม่ได้เลย อีกอย่างการชาร์จก็ใช้เวลาที่ค่อนข้างนาน แถมรถยนต์ไฟฟ้าราคาก็ยังค่อนข้างแพงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันอีกด้วย
และอีกปัจจัยที่ไม่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ที่ไม่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า คือ ยี่ห้อรถยนต์และเทคโนโลยี อันที่จริงแล้ว ผู้ที่ยังไม่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้ความสนใจรถยนต์ BEV มากที่สุด ดังนั้น ถ้าเกิดว่ามองจากฝั่งของ
อุปสงค์แล้วละก็จะเห็นได้ว่าตลาดรถยนต์ของไทยในอนาคตอาจจะกระโดดข้ามจากรถยนต์สันดาปภายในไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่โดยไม่ต้องมีรถยนต์ไฮบริดทั้งมาคั่นกลางเลยก็ว่าได้
หลังจากเห็นข้อมูล 2 ชุดนี้นักลงทุนเองก็คงเห็นข้อดีข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ไม่ใช่น้อย ซึ่งจากการวิจัยต่อเราจะพบว่า
ความต้องการซื้อของรถยนต์ ในอีก 5 ปี ข้างหน้า พบว่ามีถึง 83% ของผู้ที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าจะซื้อรถยนต์ในช่วง 5 ปี ข้างหน้า โดยสิ่งมที่พบและปัจจัยจับหลักคือ 1) อายุรถยนต์คันปัจจุบันถึงเวลาที่จะต้อง
เปลี่ยน และ 2) เปลี่ยนรถตามเทคโนโลยี
ส่วนผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อรถใน 5 ปีข้างหน้า (17%) พบว่าเป็นนน็เพราะยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนรถคันใหม่ และราคารถยนต์ยังแพงเกินไป
แต่ถ้าหากพิจารณาเฉพาะความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า ผลจากการศึกษาจะพบว่า ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้นจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่จะถึงนี้
หากเราเป็นนักลงทุนแล้วเราทราบถึงข้อมูลอย่างนี้ก็จะเห็นว่าแนวโน้มหรือว่าเทรนด์ของโลกกำลังเปลี่ยนไปจากที่ใช้รถแบบกินน้ำมันทุกวันเปลี่ยนเป็นโลกที่กำลังให้ความสำคัญและเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งยังไงก็ตามนักลุงทุนเองก็ควรต้องศึกษาเพิ่มเติมอีกจากหลากหลายแง่มุม ทั้งในด้านส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้เล่นหรือจะเป็นความแข็งแกร่งทางการเงินของตัวบริษัทเอง…
อ้างอิง: Krungsri Research
เรียบเรียงโดย : ไชยวัฒน์ โชคบัณฑิต
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digitals
ขอบคุณภาพประกอบจาก : freepik, Pexels