รถหาย แต่ยังผ่อนไม่หมด แล้วเราควรไปต่อ หรือพอแค่นี้ ?
บางที..ชีวิตเราก็ซวยเกินบรรยาย
บางคนอาจถึงขั้นใช้คำว่า ‘เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน’ กันเลยทีเดียว
โดยเฉพาะในกรณีเช่นนี้…
“รถหาย…เหตุใดฉันจึงต้องผ่อนต่อ!!!”
ลำพังแค่หนี้สินมากมาย บวกกับค่าใช้จ่ายอีกมหาศาล ก็แทบจะกระอักเลือดตายกันอยู่แล้ว แต่นี่เรายังมีค่าใช้จ่ายเรื่องรถที่คงอีกนานแสนนานกว่าจะผ่อนหมด
แล้วลองนึกดู…ถ้าวันดีคืนดี เจ้ารถคู่ใจที่ยังผ่อนไม่หมด ดันมาหายวับไปตา หายไปแบบไร้ร่องรอย และคงไม่มีวันตามหาเจอ (เผลอ ๆ อาจถูกจับแยกชิ้นส่วนขายไปแล้วก็เป็นได้)
ถ้าไม่เรียกซวย แล้วจะเรียกอะไรได้อีก?
ประเด็นคือ ปัญหาไม่ได้จบอยู่แค่นั้น
ถ้ารถหาย แล้วเลิกผ่อน คงพอทำใจได้บ้าง
แต่มันไม่ใช่ เพราะธนาคารมักไม่ยอม จะให้เราผ่อนต่อลูกเดียวเลย
ซวยไหมล่ะ…หลายคนคงอยากถามธนาคารดัง ๆ ว่า
‘ให้ผ่อนอะไรล่ะ ผ่อนอากาศ ผ่อนกุญแกหรือไง?’
แต่อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งหัวร้อนไปเลย
เมื่อทุกปัญหา ยังมีทางออกเสมอ
หนี้หนัก…ก็ต้องเปลี่ยนเป็นหนี้เบาได้เช่นกัน
สิ่งที่ต้องทำคือ เริ่มจากตั้งสติก่อน
แม้รถสุดรักสุดหวงที่ยังผ่อนไม่หมดจะหายไปแล้ว ก็ต้องมีสติ
ไม่ว่าจะมีปัญหาใด…ถ้าขาดสติ ไม่รู้จักยั้งคิด ถึงขั้นตามไปกระชากคอเสื้อ หาเรื่องด่านายธนาคารว่า ‘ทำไมฉันต้องผ่อนต่อ ก็รถมันหายไปแล้วโว้ย!’ แบบนี้คือจบกัน
จากที่ยังหาทางแก้ไขได้ อาจทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม
เมื่อมีสติแล้ว..ก็ลุยเลย ‘ไปแจ้งความซะ’
แจ้งความ
แจ้งสถาบันการเงินที่เราผ่อนอยู่
และ…หยุดผ่อนได้เลย
ใช่แล้ว อ่านไม่ผิดหรอก ก็รถไม่อยู่แล้ว จะให้ผ่อนอะไรอีกล่ะ ?
แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะบอกไปเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก เพราะสถานบันการเงินจะไม่ยอมเราแน่นอน
ทางธนาคารจะบอกให้เราผ่อนส่วนที่เหลือต่อให้หมด แม้จะไม่มีรถแล้วก็ตาม เพราะทางธนาคารถือว่านั่นไม่ใช่ความผิดของเขา (ประมาณว่า ไม่เกี่ยวกับฉัน รถหายมันเรื่องของเธอ เราจึงต้องจ่ายตามเดิม)
แต่หากพูดกันตามตรง…รถเราหาย ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่ในบางกรณี มันก็ไม่ใช่ความผิดเราด้วยเช่นกัน
ถ้างั้น ลองมาดูข้อกฎหมายกัน
การที่เราผ่อนรถ ภาษากฎหมายจะเรียกว่าเป็นการ “เช่าซื้อ” และสัญญาเช่าซื้อ ก็ถือว่าเป็นสัญญาเช่าชนิดหนึ่ง
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567
ถ้าทรัพย์สินซึ่งให้เช่าสูญหายไปทั้งหมดไซร้ ท่านว่าสัญญาเช่าก็ย่อมระงับไปด้วย
แปลว่า เมื่อรถหาย สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับไปตามมาตรา 567 และเมื่อสัญญาเช่าซื้อระงับไปแล้ว เราก็ไม่ต้องผ่อนอีกต่อไป
แต่…ปัญหายังไม่จบ
เพราะสถาบันการเงินก็จะงัดข้อสัญญาขึ้นมาข้อหนึ่ง ในทำนองว่า…
“ถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูกโจรภัย…สูญหาย ผู้เช่าซื้อยอมรับผิดฝ่ายเดียว…และยอมชำระเงินค่าเช่าซื้อจนครบ…”
ซึ่งข้อสัญญาในลักษณะนี้มีอยู่จริง !
เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราอย่าเพิ่งตื่นตูม ไม่ต้องตกใจ รีบไปผ่อนสัญญาตามที่เราลงชื่อไว้
เพราะหนี้เบา มันจะกลายเป็นหนี้หนักขึ้นมาแบบไม่สมควรที่สุด
ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็ให้เขาฟ้องมาเลย
เอาล่ะ…พอได้ยินคำว่าฟ้อง พอมีเรื่องต้องขึ้นโรงขึ้นศาลแล้วคนกลัว
ใจเย็น อย่าเพิ่งกลัวไป เพราะคดีแพ่งไม่มีติดคุก
แต่จำไว้ว่า เมื่อเขาฟ้องมาแล้ว หน้าที่ของเราที่สำคัญมากที่สุด คือ ต้องไปศาลตามนัด (ไม่ไป ไม่ได้เด็ดขาด)
เมื่อเรื่องถึงการฟ้องร้องกันแล้ว ข้อสัญญาดังกล่าว ศาลท่านจะพิจารณาเองว่าเป็นข้อสัญญาที่เป็นธรรมหรือไม่
ถ้าไม่เป็นธรรม ไม่แน่ว่าเราอาจไม่ต้องจ่ายอะไรเลย
แต่ถ้าเป็นข้อสัญญาที่ใช้ได้ ศาลท่านอาจมองว่า ข้อสัญญาที่ว่าต้องให้เราชำระเงินต่อ มันเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งศาลท่านมีอำนาจจะลดหย่อนลงได้ หากเห็นว่ากำหนดไว้สูงเกินควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคแรก
ในกรณีรถหาย ถ้าไปศาล หนี้หนักมักหลายเป็นหนี้เบาได้
แต่ ๆ ๆ ๆ !!!
อย่างไรก็ตาม ถ้ารถหาย..ต้องไม่ได้เกิดจากความผิด หรือความประมาทเลินเล่อของเจ้าของรถนะ
เพราะถ้าเราประมาทเอง ประมาณว่า จอดรถค้างคืนเอาไว้ในที่เปลี่ยวมากกกก แต่ดันทิ้งกุญแจเอาไว้ในรถ พร้อมให้ขโมยขับหนี้ไปได้ทันที แบบนี้ยากมาก…
เพราะฉะนั้น…ไม่ประมาท เป็นหนทางที่ดีที่สุด
เมื่อไม่ประมาท รถไม่หาย เรื่องไม่วุ่นวายยุ่งยาก
ขอทิ้งท้ายไว้ว่า เพราะความประมาท เป็นหนทางสู่หายนะในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะในกรณีที่เรายังผ่อนไม่หมด !
อ้างอิง : ข้อมูลบทที่ 7 รถหาย ผ่อนต่อดีไหม
จากหนังสือ : เคลียร์หนี้ ทีเดียวจบ
เขียนโดย ขจรพัฒน์ สุขถัทราพิรมย์
. . .
บทความโดย : กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digital
ขอบคุณรูปภาพจาก : เว็บไซต์ Pexels