ตั้งแต่เล็กจนโตหลายคนคงถูกสอนให้เตรียมความพร้อมอยู่เสมอไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เพราะเมื่อไหร่ที่เราพร้อมมากพอ ผลลัพธ์ของการกระทำต่างๆ ก็จะเป็นไปในทางที่ต้องการ
ต่อให้สุดท้ายแล้ว ทุกเรื่องจะไม่ได้เป็นดั่งใจไปเสียหมด แต่อย่างน้อยการเตรียมตัวให้พร้อมก็จะทำให้เห็นจุดบกพร่องได้ง่ายและชัดเจนขึ้นกว่าเดิมเสมอ
เคยมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นถึงเรื่องของการเตรียมความพร้อมในการทำธุรกิจว่าแค่ไหนถึงจะพอ ต้องมีเงินมากพอใช่ไหม หรือต้องมีคอนเนคชั่นที่กว้างขวางถึงจะเรียกว่าพร้อม
เพราะใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของธุรกิจกันแทบทั้งนั้น อยากได้รับความอิสระ อยากที่จะบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง จึงพยายามหาโอกาสเพื่อพาตัวเองไปอยู่ในจุดนั้นให้ได้
ซึ่งความเป็นจริงทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นป่านนี้ทุกคนก็ทำธุรกิจของตัวเองและร่ำรวยจนประสบความสำเร็จอย่างที่ต้องการกันไปหมดแล้ว
กว่าที่หนึ่งธุรกิจจะเติบโตได้ อาจจะยากไม่แพ้การเลี้ยงดูเด็กหนึ่งคนให้โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เลยด้วยซ้ำ เพราะการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ถึงจะเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ
การจะลงมือทำธุรกิจก็ต้องเจอเรื่องราวไม่น้อยไปกว่ากัน ต้องจัดการกับทั้งปัญหาและเผชิญหน้ากับความกดดันที่เข้ามาทุกรูปแบบ ถ้ารับมือได้ดีก็จะไปได้สวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แต่หากคุณคือหนึ่งคนที่กำลังมีความฝันและความมุ่งมั่นที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจ เมื่อเจอกับเสียงรอบข้างที่บอกว่านี่คือเรื่องยากห่างไกลความจริง เป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน เชื่อว่าถ้าเตรียมตัวมาดีมากพอ ต่อให้ยากแค่ไหนก็น่าลองดูกับมันสักตั้งไม่ใช่เหรอ? จะได้รู้ว่าความตั้งใจจะเอาชนะเรื่องต่างๆ ได้หรือไม่?
แน่นอนว่าก้าวแรกในการเตรียมความพร้อมเริ่มที่ทัศนคติ เพียงแค่รู้ความคิดและจัดการสิ่งที่อยู่ในหัวได้อย่างดี ก็จะรู้ว่าอะไรคือเรื่องที่ต้องใส่ใจ แล้วอะไรคือเรื่องที่ควรละเลย
จุดที่เจ้าของกิจการหลายคนเจอตอนเริ่มต้น คือการนำปัญหาและระบบทุกอย่างของธุรกิจมาล้อมรอบตนเอง เสมือนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของปัญหา ก็ทำให้ยากที่จะเจอทางออก
ยิ่งถ้าคุณเคยทำงานออฟฟิศมาก่อน เคยเป็นลูกน้องมาก่อน แล้ววันหนึ่งลุกขึ้นมาทำธุรกิจของตัวเองละก็ มีรายละเอียดมากมายที่สองหน้าที่นี้ทำต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เวลาคือเรื่องที่ต้องเข้าใจ กิจวัตรของพนักงานทั่วไปคือการทำหน้าที่แต่ละวันให้ดีที่สุด เมื่อสิ้นสุดวันทุกอย่างก็จะถูกพักเอาไว้เพื่อมาสานต่อในวันถัดมา แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจนั้นจะคิดเช่นนี้ไม่ได้ เพราะทุกวินาทีที่ผ่านไปคือความเป็นอยู่ขององค์กร
บทบาทของผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ ใครที่กำลังคิดว่าต้องมีเวลาว่างมากขึ้น ไปเที่ยวได้เต็มที่ อยากทำก็ทำ อยากพักก็พักได้ เป็นความคิดที่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
เพราะเมื่อกล้าที่จะสร้างธุรกิจแสดงว่าต้องกล้าแสดงความรับผิดชอบต่อผู้อื่นด้วย ธุรกิจไม่ได้มีคุณแค่คนเดียว ไหนจะพนักงาน ต้นทุน วัตถุดิบ หรือแม้แต่องค์ประกอบทั้งหลายที่จะต้องคำนึงถึง ทำให้ทุกวินาทีคือเวลาทำงาน ตราบใดที่หยั่งรู้อนาคตไม่ได้ ต้องทำทุกอย่างให้ครอบคลุมและเพียงพอต่อการอยู่รอดในธุรกิจให้ได้
เมื่อใจพร้อมสมองต้องพร้อมไปด้วย สิ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องมีคือความรู้ นี่ไม่ใช่คำแค่ผิวเผินแต่รู้ในที่นี้คือต้องรู้ในเรื่องที่จะทำ ธุรกิจร้านคาเฟ่ถึงภายนอกจะดูง่ายใครๆก็ทำกัน แต่ไม่ใช่ว่าใครๆก็สำเร็จสักหน่อย ถ้าอยากแค่สร้างก็ทำไปตามอารมณ์ของตัวเอง แต่ถ้าอยากสำเร็จ อยากต่อยอด จำเป็นต้องพกความรู้ติดตัวไปทุกที่ และจะดียิ่งกว่าถ้าเตรียมตัวด้วยข้อมูลที่มี ยิ่งใส่ใจข้อมูลมากเท่าไหร่จะเข้าใจแนวทางมากเท่านั้น
แล้วข้อมูลที่ว่าคืออะไร? แล้วจะหาได้จากไหน?
ลำดับแรกสิ่งที่ต้องรู้มากที่สุด คือสิ่งที่คุณกำลังจะขาย ต้องรู้ก่อนว่าจะขายอะไรไปทำไม ต้องเข้าใจว่าสิ่งนั้นตอบสนองและมีแนวทางพัฒนาต่อยอดได้อย่างไร
ธุรกิจคาเฟ่ส่วนใหญ่ใส่ใจกับบรรยากาศมากกว่ารสชาติอาหารด้วยซ้ำ เจ้าของธุรกิจหลายคนรู้ว่าจะต้องแต่งร้านสไตล์ไหน โทนไหนที่กำลังมาแรงและดึงดูดผู้คนได้ดี
จนบางทีก็ลืมไปว่าแล้วกาแฟแบบไหนที่ชงแล้วรสชาติเยี่ยมที่สุด อุณหภูมิน้ำแค่ไหนที่จะทำให้เมล็ดกาแฟหอมที่สุด หรือน้ำตาลที่ใส่ในของว่างเท่าไหร่ถึงจะหวานพอดี อะไรพวกนี้คือสิ่งที่จะขาดไม่ได้ เพราะสุดท้ายธุรกิจร้านอาหารและคาเฟ่แบบนี้ รสชาติก็เป็นหนึ่งในเรื่องจะบกพร่องไปไม่ได้
แล้วการจะลบรอบแผลเหล่านั้นได้ คือการหาข้อมูล เตรียมความพร้อมในเชิงลึก ทำการบ้านในเรื่องเกี่ยวกับลูกค้า อะไรที่ไม่รู้หรือรู้ไม่พอแค่ยอมรับและพัฒนาต่อ หาข้อมูลเพิ่ม ศึกษามากขึ้น สอบถามผู้เชี่ยวชาญ หรืออะไรก็ตามที่จะลดจุดอ่อนและเพิ่มจุดแข็งได้ ก็จะทำให้ความมั่นคงเกิดขึ้น
ต่อด้วยการจัดลำดับความสำคัญอย่างถูกต้อง ไม่ง่ายที่จะรู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง เพียงแต่ถ้ามองทุกเรื่องในเชิงวิเคราะห์ หาจุดที่เรียกว่าเป็นใจความหลักในสิ่งนั้น เลือกสิ่งที่จำเป็นที่สุดมาไว้ข้างหน้า และเรียงความสำคัญอย่างถูกวิธีจะทำให้ไม่เสียเวลาอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์ เพราะเวลาสั้นๆในส่วนนี้ คือตัวเร่งความสำเร็จในธุรกิจได้ไม่มากก็น้อย
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว อะไรที่ยังคั่งค้างอยู่อาจถึงเวลาต้องสะสางสักที ได้เวลารื้อดูรากฐานที่กำลังสร้างดูว่ามีสิ่งไหนผิดพลาดบ้าง เพราะไม่ใช่ทุกคนจะพบจุดอ่อนของตัวเอง ทุกครั้งที่ความจริงเปิดเผยจะมีประโยชน์อยู่ในนั้นเสมอ คนที่ฉลาดจะยอมรับและเปลี่ยนให้เป็นจุดแข็ง ว่าแต่ว่าแล้วอะไรคือจุดอ่อนของตัวคุณเองบ้าง แล้วทุกวันนี้หาสิ่งนั้นเจอแล้วหรือยัง?
…
เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital