ในวันที่เรายังไม่มีสมาร์ตโฟน เด็กที่เกิดในยุค 90 มักจะใช้เวลาหลังเลิกเรียนหรือในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ไปรวมตัวกันที่ร้านเกมเพื่อแข่งเกมออนไลน์กัน
นอกจากเกมที่เล่นแล้ว ร้านเกมก็ยังมีเสน่ห์ในตัวของมัน หากเราลองหลับตานึกถึงภาพเด็กตัวเล็กๆ เดินเข้าร้านเกมจ่ายค่าชั่วโมงการเล่น 15-20 บาท เข้าไปนั่งเล่นบนเก้าอี้หนังแสนนุ่ม แอร์เย็นๆ จอคอมแสนกว้าง และหูฟังเสียงชัด ต่างคนต่างเสียงดังเอะอะโวยวายกันไม่มีหยุด สายตามองที่หน้าจอ มือขวาเลื่อนเมาส์ มือซ้ายจิ้มคีย์บอร์ด อย่างตั้งอกตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม ความสนุกในช่วงเวลานั้นยังถูกผู้ใหญ่หลายคนมองว่ามันไม่ต่างอะไรจากยาเสพติด แม้ว่าคุณจะออกจากโลกของมันมาแล้ว แต่บางครั้งก็ยังนำความรู้สึกและพฤติกรรมในเกมติดตัวออกมาด้วยจนพาคุณหลงผิดไป
เหตุการณ์หลายอย่างทำให้เกมตกเป็นแพะรับบาปของสังคม ไม่มีใครได้ดีจากมันนอกจากผู้สร้างที่ได้เงินจากการซื้อไอเทมของเราไป
ถึงอย่างนั้น เมื่อเราเปลี่ยนมุมมองกลับพบว่า การเล่นเกมก็ไม่ต่างอะไรจากการเล่นกีฬา เพราะในการเล่น ผู้เล่นต้องรู้ข้อมูลตัวละครที่ตัวเองเลือกว่ามีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร ด่านที่เล่นเป็นอย่างไร อาวุธแต่ละอย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน
ด้วยเหตุนี้ ผู้เล่นหลายคนยอมฝึกฝนตัวเองเพื่อให้มีฝีมือการเล่นที่เก่งขึ้น พวกเขาใช้เวลาอยู่กับการเล่นมากขึ้นทั้งวันทั้งคืน และเสียเงินหลายพันเพื่อแลกกับการได้ไอเทมในเกมมาพัฒนาฝีมือตัวเอง
ไม่นานมากนัก ผู้เล่นหลายคนพัฒนาฝีมือจนสามารถจับทางการเล่นได้ พวกเขามีผลการเล่นที่ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด เมื่อเป็นแบบนี้ บรรดาค่ายเกมเริ่มจัดงานและการแข่งขันเล็กๆ เพื่อค้นหาผู้เล่นที่มีฝีมือดีที่สุดพร้อมของรางวัล
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นของล่อตาล่อใจให้เหล่าเกมเมอร์ทั้งหลายได้พิสูจน์ฝีมือตัวเองว่าพวกเขาคือ ตัวจริง ภาพการแข่งถูกเผยแพร่ออกสู่สายตาคนอื่นให้คุ้มค่ากับความพยายาม
แล้วหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร เมื่องานจบลงพวกเขาจะหาเงินแบบนี้ได้จากไหน
หลายคนรูดีว่าตัวเองมีฝีมือและต้องการนำความสามารถเหล่านี้มาใช้หาเงิน นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาเลือกหาช่องทางที่จะแสดงฝีมือให้คนอื่นดู แต่มันคงไม่ใช่การเล่นเฉยๆ
เพื่อให้คนจดจำ พวกเขายังต้องใช้เสียงบรรยายการเล่นรวมถึงอัดภาพหน้าจอที่เล่นเพื่อให้คนดูได้เห็นสิ่งเดียวกันแล้วเผยแพร่ลงโซเชียลมีเดียเพื่อให้ได้ยอดวิวตามที่แพลตฟอร์มกำหนด
แต่ความยากของมันคือ เราได้อะไรเป็นการตอบแทน มันไม่ใช่งานประจำที่เราได้รับค่าตอบแทนแน่นอน ยิ่งในช่วงเริ่มต้นยิ่งยากยิ่งกว่า แต่หลายคนเลือกที่จะอดทนทำสิ่งที่ตัวเองชอบเพื่อให้คนจดจำ
เช่นเดียวกับ นัยรัตน์ ธนไวทย์โกเศส หรือที่คนในวงการรู้จักในชื่อ “แป้ง zbing z.” แคสเตอร์สาวเสียงใส ที่เคยผ่านช่วงเวลาแห่งความกดดันจากครอบครัวที่มองไม่ออกว่า การเล่นเกมจะสร้างเงินให้เราอย่างไร
แรกเริ่มเธอคิดว่าค่าตอบแทนที่ได้จะต้องเป็นพันเหมือนกับแคสเตอร์ต่างชาติ แม้ในความจริงจะเริ่มจากหลักร้อย แต่เธอไม่ย่อท้อและขอเวลาพิสูจน์ตัวเองว่าการเล่นเกมไม่ใช่แค่การเล่นเอาสนุกอย่างเดียว แต่สามารถสร้างความบันเทิงให้คนอื่นรวมทั้งสร้างรายได้ให้ตนเองได้
จากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชอบเล่นเกมจนกลายมาเป็นแคสเตอร์อันดับต้นๆ ของประเทศ
หากถามว่าเด็กติดเกมกับแคสเตอร์ต่างกันอย่างไร?
เราตอบได้ว่า พวกเขาทำให้คนดูเพลิดเพลินตามไปด้วยโดยการขายฝีมือและน้ำเสียงเพื่อสร้างความสนุกให้คนนับล้านผ่านการเล่นเกม
.
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ภาพประกอบจาก : Pexels