ข่าวคราวข้อพิพาทระหว่างเจ้าของโครงการและผู้รับเหมามักจะเป็นเรื่องที่มีมาให้ได้ยินกันอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการก่อสร้างที่ไม่ได้คุณภาพ งานไม่ได้ตามแบบที่วางไว้ หรือที่ร้ายแรงมาก ๆ คือผู้รับเหมามีการขอเบิกค่างวดล่วงหน้าบ่อย ๆ จนสุดท้ายก็ชิ่งหนีทั้งที่งานยังไม่มีความคืบหน้า ซึ่งทั้งหมดได้กลายมาเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ว่าที่เจ้าของโครงการใหม่เริ่มมีความวิตกกังวลว่าตนเองอาจจะตกไปเป็นหนึ่งในคนที่ถูกผู้รับเหมาเอาเปรียบก็ได้
แต่ก็ใช่ว่าเจ้าของโครงการทุกคนจะโชคร้ายแบบนั้นเสมอไปเพราะในธุรกิจการทำบ้านก็ยังมีผู้รับเหมาอีกจำนวนมากที่ยังมีความเคารพในวิชาชีพของตัวเอง เมื่อไม่สามารถพิสูจน์ได้ตั้งแต่แรกว่าผู้รับเหมาคนไหนที่จะสามารถส่งมอบงานที่มีคุณภาพได้ ตัวเจ้าของโครงการเองจึงต้องมีการวางแผนการดำเนินงานอย่างรัดกุมเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง และหนึ่งในนั้นก็คือ “การทำสัญญาว่าจ้างการก่อสร้าง”
สัญญาว่าจ้างการก่อสร้างมีความสำคัญอย่างไร?
สัญญาว่าจ้างก่อสร้างเป็นสัญญาที่ถูกจัดทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรโดยผู้ว่าจ้าง (เจ้าของโครงการ) และผู้รับจ้าง (ผู้รับเหมาก่อสร้าง) ภายใต้ข้อตกลงที่ครอบคลุมในเรื่องของการจ่ายค่างวด ค่าตอบแทนการจ้างงาน และระยะเวลาในการดำเนินการก่อสร้าง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม หากพบว่ามีส่วนหนึ่งส่วนใดของสัญญาที่บ่งบอกถึงการถูกเอารัดเอาเปรียบจากคู่สัญญาสามารถทำการโต้แย้งได้เพื่อรักษาผลประโยชน์ในส่วนของตนเองได้
ดังนั้นทั้งฝ่ายผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างจะต้องตรวจสอบรายละเอียดในสัญญาให้ละเอียดและครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าตอบแทนและระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่วันที่มีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่สิ้นสุดสัญญา รวมถึงเรื่องค่าปรับจากความเสียหายในระหว่างก่อสร้างด้วย
รายละเอียดที่จำเป็นจะต้องระบุลงไปในสัญญาว่าจ้างการก่อสร้าง
1. ระบุวันที่และสถานที่ที่ทำสัญญาของทั้งสองฝ่ายให้ชัดเจน
2. ข้อมูลที่ละเอียดชัดเจนของผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างที่สามารถตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อบุคคล สังกัดหน่วยงาน ที่อยู่ หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่ระบุตัวตนของทั้งสองฝ่ายได้
3. รายละเอียดและลักษณะของเนื้องาน โดยผู้ว่าจ้างจะต้องทำการตกลงกับผู้รับจ้างให้เรียบร้อยว่าต้องการให้สิ่งปลูกสร้างนั้นออกมาในลักษณะใด
4. รายละเอียดเรื่องการจ่ายค่าตอบแทนหรือค่างวดต่าง ๆ ว่าจะมีการแบ่งจ่ายอย่างไร หรือต้องจ่ายงวดละกี่เปอร์เซ็นต์
5. ระยะเวลาในการดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันที่สัญญามีผลจนถึงวันสิ้นสุดสัญญา โดยทั่วไปแล้วจะมีการเริ่มต้นการก่อสร้างหลังจากลงเสาเข็มแล้วประมาณ 15-30 วัน
6. ความรับผิดชอบในส่วนของผู้ว่าจ้างที่ต้องระบุว่าจะมีสิทธิในส่วนใดบ้าง ยกตัวอย่างเช่น สิทธิในการแก้ไขหรือการปรับลดวัสดุในการก่อสร้าง แต่ในกรณีที่ผู้รับจ้างมีความเห็นว่าการปรับลดวัสดุมีผลกระทบต่อโครงสร้างและความมั่นคงของตัวอาคารก็สามารถปฏิเสธได้เช่นกัน
7. ความรับผิดชอบในส่วนของผู้รับจ้างที่จะต้องดำเนินการตามแบบที่กำหนดเท่านั้นและผู้รับจ้างจะต้องยินยอมให้ผู้ว่าจ้างทำการตรวจสอบขั้นตอนการก่อสร้างด้วย
8. เครื่องมือและวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างจะต้องเป็นไปตามที่กำหนดเท่านั้น หากพบว่าผู้รับจ้างใช้วัสดุก่อสร้างไม่ตรงตามที่ระบุไว้ใน BOQ สามารถที่จะระงับการก่อสร้างได้ในทันที
9. ข้อกำหนดในการยกเลิกสัญญาและการเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดจากการก่อสร้างควรระบุเอาไว้อย่างชัดเจนเพื่อป้องกันในกรณีที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดเงื่อนไขข้อกำหนด ยกตัวอย่างเช่น ผู้รับจ้างไม่เริ่มงานหลังผ่านไปแล้ว 30 วัน หรือมีการหยุดงานนานเกิน 30 วัน เป็นต้น
10. กำหนดระยะเวลาในการรับประกันสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดเอาไว้ 2 แบบ คือ 1-2 ปี นับตั้งแต่วันที่รับมอบโครงการจากผู้รับจ้าง และรับประกันโครงสร้างในระยะเวลา 5-10 ปี
11. การทำสัญญาจะต้องประกอบด้วยผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างทั้งสองฝ่ายพร้อมกับพยานที่จะต้องเซ็นรับทราบด้วยอีก 2 คน
วิธีป้องกันการถูกเอาเปรียบจากสัญญาว่าจ้างการก่อสร้าง
1. หลีกเลี่ยงการทำสัญญาที่มีความคลุมเครือหรือมองว่ามีช่องโหว่ที่จะเป็นโอกาสให้อีกฝ่ายสามารถเอาเปรียบได้ และเพื่อเป็นการป้องกันไว้ตั้งแต่แรกเจ้าของโครงการจึงต้องอ่านรายละเอียดให้ครบถ้วนและเมื่อเกิดข้อสงสัยต้องทำการซักถามในทันที
2. พิจารณาว่าเปอร์เซ็นต์การจ่ายค่างวดเหมาะสมกับเนื้องานหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น งานเบาหรืองานที่ไม่จำเป็นต้องเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยสามารถอ้างอิงได้จากเอกสารแสดงรายการวัสดุก่อสร้าง หรือที่เรียกกันว่า BOQ นั่นเอง
3. ระยะเวลาในการก่อสร้างจะต้องสมดุลกับปริมาณของงาน หากเป็นโครงการเล็กอาจจะใช้เวลาไม่ถึงปี ดังนั้นเพื่อให้การทำงานมีความรัดกุมและเพื่อให้เจ้าของโครงการสามารถตรวจสอบหรือติดตามการดำเนินงานได้จึงควรมีการระบุวันเวลาในการส่งมอบงานในแต่ละงวดด้วย
4. มีระยะเวลาในการรับประกันสิ่งปลูกสร้างจากผู้รับจ้างซึ่งการก่อสร้างโครงการเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าสูง ดังนั้นการรับประกันโครงสร้างและความปลอดภัยจึงมีความสำคัญมาก
5. ผู้ว่าจ้างจะต้องแสดงสิทธิชัดเจนในการบอกเลิกสัญญาหากพบว่าผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือสัญญาที่ได้ทำการตกลงกันเอาในตอนแรก และหากโครงการได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของผู้รับจ้างก็สามารถเรียกค่าเสียหายได้เช่นกัน
การก่อสร้างโครงการในแต่ละโครงการไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ต่างก็มีต้นทุนที่สูงมากพอสมควร ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเจ้าของโครงการจะมีความคาดหวังและความกังวลในเวลาเดียวกัน ดังนั้นการทำสัญญาตกลงกันทั้งสองฝ่ายจึงเป็นวิธีการป้องกันที่รัดกุมที่สุดในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นมา และนอกจากนี้ผู้เสียหายยังจะได้รับการคุ้มครองจากข้อกำหนดว่าด้วยเรื่องของสัญญาว่าจ้างการก่อสร้างตามกฎหมายด้วย
อ้างอิง:
สัญญาก่อสร้าง 4 ข้อควรระวัง พร้อมตัวอย่างสัญญาจากสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน จาก https://bit.ly/3Niloxm
สัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคารที่ควรรู้ก่อนจ้างผู้รับเหมา จาก https://bit.ly/356gylw
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
เรียบเรียงโดย: ศุภธิดา รัสพันธ์
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Freepik