ถ้าพรุ่งนี้ถูกไล่ออก..คุณคิดว่าจะประทังชีวิตอยู่ด้วยเงินก้อนสุดท้ายในบัญชีได้อีกนานแค่ไหนกัน ?
คุณเป็นอีกคนหนึ่งที่กำลังใช้เงินแบบ ‘เดือนชนเดือน’ อยู่หรือเปล่า ?
ใช้เงินมือเติบช่วงต้นเดือน เจออะไรก็ซื้อ ช็อปปิงออนไลน์เป็นว่าเล่น เน้นหาความสุขใส่ตัวตอนที่ยังมีกินมีใช้ พอถึงสิ้นเดือน..ค่อยไปหาทางเอาตัวรอดทีหลัง
ถ้าคุณตอบว่า ‘ใช่..ฉันทำแบบนี้แหละ มีเงินก็ต้องรีบใช้สิ’
งั้นคุณคงรู้ใช่ไหมว่าความยากลำบากที่ต้องเจอในวันที่วิกฤตมาถึงแบบไม่ทันตั้งตัวคืออะไร.. แล้วคุณวางแผนจะรับมือกับมันยังไงบ้างล่ะ?
อย่าชะล่าใจ วิกฤตอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด
ย้อนกลับไปไม่นานนัก ช่วงต้นปีที่ผ่านมา วิกฤติ Covid-19 กลายเป็นโรคร้ายระบาดหนัก ที่กระจายตัวเร็วเกินความคาดหมายของเราไปมาก ส่งผลให้บริษัทเล็กใหญ่ขาดทุนยับจนรับมือไม่ไหว ต้องทยอยเลย์ออฟพนักงานออกไป เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้ต่ำลง
แล้วถ้าคุณดันเป็นพนักงานดวงซวยคนนั้นล่ะ ?
ถูกไล่ออกทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีตำแหน่งงานรองรับ แถมยังมีเงินเก็บอยู่เพียงน้อยนิด คุณจะจัดการกับค่าใช้จ่ายมหาศาลเหล่าได้ยังไง..ทั้งค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าของใช้ภายในบ้าน รวมถึงหนี้สินที่ค้างชำระอีกนับไม่ถ้วน
หนทางรอดแทบไม่มีเลยใช่ไหมล่ะ..นี่คือเหตุผลที่คุณต้องเริ่มเก็บออม ‘เงินสำรองฉุกเฉิน’ โดยด่วน ถ้าอยากเอาตัวรอดให้ได้ในทุกวิกฤติ
เงินสำรองฉุกเฉิน เรื่องใหญ่ที่คนวัยทำงานมองข้าม
มาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า ‘เงินสำรองฉุกเฉิน’ กันหน่อย
ความหมายก็ตรงตามชื่อเลย คือ เป็นเงินจำนวนหนึ่งที่เราจะเก็บออมและแยกบัญชีเอาไว้ ด้วยความตั้งใจว่าจะไม่หยิบมาใช้โดยเด็ดขาด เพราะเงินก้อนนี้จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อมีความจำเป็น เกิดเหตุฉุกเฉิน หรือเมื่อต้องเจอวิกฤตครั้งใหญ่ในชีวิต เช่น ถูกไล่ออกจากงานกะทันหัน ป่วยเป็นโรคร้ายต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลสูง ฯลฯ
เงินสำรองฉุกเฉิน เก็บมิดชิด แต่หยิบใช้ได้ทัน
ถึงแม้เงินก้อนนี้จะถูกเก็บออมไว้อย่างเคร่งครัด แต่มักจะไม่เก็บไว้ในบัญชีที่ต้องใช้ขั้นตอนที่ยุ่งยากในการเบิกถอน และไม่ใช่เงินลงทุนที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้
บางคนอาจเก็บไว้เป็นเงินสด แต่ส่วนใหญ่มักเก็บไว้ในบัญชีออมทรัพย์ ที่ปลอดภัยแต่สามารถเบิกถอนได้ง่ายหรือหยิบมาใช้ได้ทันเวลาที่ต้องการ
ต้องมีเงินมากแค่ไหน ถึงจะรอด ?
คำถามนี้ตอบแบบตายตัวไม่ได้ เพราะแต่ละคนมีรายจ่ายและความจำเป็นต้องใช้ไม่เท่ากัน
โดยปกติแล้วเราจะคิดจากค่าใช้จ่ายจำเป็นในแต่ละเดือน สิ่งที่คุณต้องทำคือ ประเมินค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนออกมาคร่าว ๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมอย่างชัดเจนว่าคุณต้องเตรียมเงินเอาไว้เท่าไหร่บ้าง โดยลิสต์ออกมาเป็นหัวข้อใหญ่ ๆ เช่น
- ค่าอาหาร (หากมีครอบครัวให้บวกเพิ่ม) จำนวน…..บาท
- หนี้สินที่ต้องชำระ (ค่าบ้าน ค่ารถ ฯลฯ) จำนวน…..บาท
- ค่ารักษาพยาบาล (หากมีโรคประจำตัว) จำนวน…..บาท
- ค่าของใช้ในชีวิตประจำวัน จำนวน…..บาท
- คาใช้จ่ายอื่น ๆ จำนวน…..บาท
- รวมเป็นเงิน…..บาท
เมื่อลิสต์ออกมาเป็นข้อ ๆ ดังนี้แล้ว คุณจะประเมินได้ว่าต้องเตรียมเงินสำรองฉุกเฉินเอาไว้เท่าไหร่เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
เงินสำรองฉุกเฉิน ต้องเก็บเผื่อไว้สำหรับกี่เดือน ?
โดยปกติแล้วจะพิจารณาจากความมั่นคงของสาขาอาชีพเป็นหลัก ธนาคารกรุงไทยได้ให้ข้อมูลเอาไว้โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท นั่นคือ
- ผู้ที่เป็นข้าราชการ
- สำรองเงินไว้อย่างน้อย 2-3 เดือน
- สมมติว่าค่าใช้จ่ายจำเป็นต่อเดือน คือ 10,000 บาท ให้สำรองเงินไว้ 10,000 – 30,000 บาท
- อาชีพนี้ความมั่นคงสูง มักได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้อย จึงสามารถสำรองเงินไว้ในระยะสั้น ๆ ได้
- พนักงานบริษัทเอกชน
- สำรองเงินไว้อย่างน้อย 3-6 เดือน
- สมมติว่าค่าใช้จ่ายจำเป็นต่อเดือน คือ 10,000 บาท ให้สำรองเงินไว้ 30,000 – 60,000 บาท
- แม้จะมีความมั่นคงในแง่ของรายได้ที่ได้รับอย่างแน่นอนในทุก ๆ เดือน แต่บริษัทเอกชนเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติง่าย มีโอกาสถูกเลย์ออฟ จึงต้องสำรองเงินไว้ใช้พอประมาณ
- อาชีพอิสระ/ฟรีแลนซ์
- สำรองเงินไว้อย่างน้อย 6-12 เดือน
- สมมติว่าค่าใช้จ่ายจำเป็นต่อเดือน คือ 10,000 บาท ให้สำรองเงินไว้ 60,000 – 120,000 บาท
- อาชีพนี้ไม่มีสังกัดชัดเจน ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาใคร แต่มีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจากรายได้มาจากชิ้นงานและความสามารถ ไม่ได้รับเงินรายเดือนเหมือนอาชีพอื่น ๆ จึงต้องเตรียมเงินมากกว่า
เทคนิคเก็บเงินสำรองฉุกเฉินให้อยู่หมัด
ปัญหาของคนส่วนใหญ่ คือ เก็บเงินไม่อยู่ ฝากเงินไว้ในบัญชีได้ไม่นาน ก็เผลอหยิบออกมาใช้ทุกที (อยากตีมือตัวเองแรงๆ แต่มันห้ามใจไม่ไหวจริงๆ) เพราะฉะนั้น ลองทำตามเทคนิคเหล่านี้ดู คุณอาจเก็บเงินได้มากขึ้น
1) อย่าเชื่อมบัญชีธนาคารไว้กับ Internet banking
ตั้งแต่มีแอปพลิเคชันมันก็ช่างโอนง่าย จ่ายคล่อง สะดวกเสียเหลือเกิน เพราะฉะนั้นถ้าเจ้านี่คือปัญหา ก็ตัดขาดมันไปซะเลย !
สำหรับบัญชีเงินสำรองฉุกเฉิน เราขอแนะนำให้คุณไม่เชื่อม Internet banking แล้วหันไปใช้บริการเบิกถอนที่หน้าเคาท์เตอร์ธนาคารแทน
หยิบใช้ยาก จะได้ไม่เผลอใจ ไม่เพลินมือ แล้วคุณจะเก็บเงินได้มากขึ้นเอง
2) เก็บก่อนค่อยใช้
เมื่อเงินเดือนถูกโอนเข้าบัญชีแล้ว ขอให้คุณหักห้ามใจเอาไว้ อย่าเพิ่งหยิบออกมาใช้..ให้แบ่งเงินเอาไว้จำนวนหนึ่ง เพื่อเก็บเข้าบัญชีเงินสำรองฉุกเฉิน
โดยอาจแบ่งออกมาสัก 5-10% ของเงินเดือน เพื่อไม่ให้กระทบกับค่ากินใช้ในชีวิตประจำวันมากจนเกินไป
แต่ต้องบังคับตัวเองให้ทำทุกเดือน ทำทุกครั้งที่มีรายรับจากการทำงานเข้ามา (ท่องเอาไว้..เพื่อความมั่นคงในชีวิตตตต)
3) เป้าหมายชัดเจน
คุณอาจแยกบัญชีต่าง ๆ โดยแบ่งประเภทออกตามเป้าหมายหรือความต้องการใช้งานของคุณ เช่น บัญชีนี้เอาไว้รับเงินเดือน บัญชีนี้เอาไว้กินใช้ บัญชีนี้เอาไว้ช็อปปิงให้รางวัลตัวเอง และอีกบัญชีเอาไว้สำหรับเก็บเงินสำรองฉุกเฉินโดยเฉพาะ
เมื่อเป้าหมายชัดเจน คุณจะไม่หยิบใช้สะเปะสะปะ อีกทั้งยังมีสติในการควบคุมรายจ่ายมากขึ้น และสามารถเก็บเงินได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน
. . .
วางแผนการเงินอย่างรัดกุม ไม่ว่าจะเจอวิกฤติครั้งไหน คุณก็จะผ่านมันไปได้เสมอ 🙂
อ้างอิง:
(1) บทความ เงินสำรองฉุกเฉินคืออะไร มีเท่าไรถึงจะพอ (krungthai.com)
(2) บทความ ‘เงินสำรองฉุกเฉิน’ สำคัญแค่ไหน ในวิกฤติ ‘โควิด-19’ (bangkokbiznews.com)
. . .
บทความโดย: ณัฐริกา หลิมไทยงาม
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: Pexels