ณ วงสนทนาแห่งหนึ่งในโลกใบนี้ พี่น้องสามคน ตั้งวงสังสรรค์กัน ในบ่ายอุ่นๆวันอาทิตย์ ทั้งสามคนคุยกันอย่างออกรสตามประสาญาติสนิท ด้วยความที่ช่วงอายุไม่ห่างกันมาก ทำให้ดูจะเข้าใจกันลึกซึ้งกว่าที่เคย ความเชื่อในเรื่องราวต่างๆในชีวิต ก็เป็นไปในทางเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย
ระหว่างที่ทุกคนกำลังทอดอารมณ์ เพลิดเพลินกับวันพักผ่อนในสุดสัปดาห์ ทันใดนั้น น้องสาวคนเล็ก ก็ถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงตัดพ้อว่า “เฮ้อ พรุ่งนี้ก็วันจันทร์อีกแล้ว ขี้เกียจไปเรียนจริงๆเลย”
หลังพูดจบ พี่อีกสองคนต่างมองไปที่น้องสาวเป็นตาเดียวกัน แล้วอมยิ้มเบาๆ พร้อมกับที่ พี่คนกลาง ถามขึ้นมาว่า “ทำไมแกถึงไม่อยากไปเรียนล่ะ”
น้องสาวตอบกลับทันที “ก็มันน่าเบื่อ นั่งเลคเชอร์ทั้งวัน ใครจะทนไหว” พร้อมหน้าตาที่ไม่สบอารมณ์นัก พี่คนโตแทรกมาทันที “แกมีหน้าที่เรียนก็เรียนไปเถอะน่า ไว้ทำงานเมื่อไหร่ แกจะรู้เลยว่านี่คือเวลาที่สนุกที่สุดแล้ว”
หลังจบประโยค พี่คนกลางถามต่อว่า “แล้วจบไปอยากทำอะไร?”
น้องสาวใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง และบอกว่า “ไม่รู้เหมือนกัน อยากทำงานอะไรก็ได้ที่ได้เงินเยอะๆแล้วกัน”
พี่คนกลาง สบตาและตบไหล่น้องเล็กเบาๆ “ฟังนะ แกเพิ่งอายุ 22 เอง นี่คือเวลาในการเตรียมความพร้อมสำคัญที่จะหารายได้ในอนาคต วัยนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจาก สุขภาพและความกระตือรือร้น นั่นคือสาเหตุว่าทำไมคนในวัยนี้หลายคน ถึงไม่สามารถเรียกรายได้ให้เหนือกับความสามารถได้
สิ่งที่คนวัยนี้ต้องสะสม คือประสบการณ์ ไม่ใช่เพื่อนๆเสมอไป บางครั้งให้ลองสังเกตว่าสิ่งที่ได้รับมอบหมายอยู่ตอนนี้ เราจะทำมันอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และกระบวนการดำเนินสิ่งเหล่านี้ ประกอบด้วยอะไร
แม้ว่าจะถูกบังคับให้ทำงานเล็กๆ ต้องยอมรับอย่างมีความสุข อย่าคิดดูถูกงานพวกนี้ เพราะทุกคนก่อนจะทำงานใหญ่ได้ดี ล้วนผ่านการทำงานเล็กๆให้ดีมาแล้วหลายครั้ง
เส้นทางอีกยาวไกล ในวัยที่ขยันได้ ทุกข์ได้ ทําไมไม่โยนตัวเองเข้าไปในสังคม เพื่อสะสมโอกาสให้ตัวเองบ้างล่ะ?”
หลังพูดจบ ท่าทีของน้องคนเล็กก็เปลี่ยนในทันที จากหน้าบึ้งก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น ดูเหมือนว่าคำพูดของพี่คนกลาง จะเข้าไปกระแทกใจเข้าอย่างจัง มีผลต่อความคิดน้องไม่น้อยเลย
พี่คนโต ถึงกับต้องปรบมือให้ กับคำสอนของน้องชายคนกลาง “นี่แกอายุ 25 หรือ 35 เนี่ย ถึงได้เข้าใจโลกดีจริงๆ”
“แล้วแกล่ะ เริ่มทำงานที่ใหม่เป็นยังไงบ้าง คงจะไปได้สวยใช่ไหม” พี่คนโตถามต่อ
“ก็ดีทุกอย่างนะ ยกเว้นอย่างเดียว เงินเดือน” “เหลือให้พอสิ้นเดือนยังยากเลย จะผ่อนรถสักคัน คงฝันไปได้เลย” พี่ชายคนกลางตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
พี่คนโตถึงกับส่ายหัว “โถ่เอ้ย น้องพี่แต่ละคน” พร้อมหัวเราะออกมา ด้วยความเอ็นดูถึงปัญหาของน้องแต่ละคน แล้วใช้วิธีการเดียวกัน คือตบไปที่ไหล่น้องคนกลางเบาๆ แล้วพูดว่า “ฟังพี่นะ”
“ในวัยเบญจเพสแบบแก สิ่งที่ต้องสนใจ คือใช้ชีวิตอย่างฉลาด ถึงเวลาต้องใช้ความรู้ที่สั่งสมมาในการหาเงิน แต่นี่คือเวลาที่เริ่มทำงานได้ไม่กี่ปี การจะได้รับประสบการณ์ ทักษะบางอย่าง ต้องให้เวลาสักหน่อย
เข้าใจว่าเมื่อมองไปในสังคม เพื่อนในวัยเดียวกัน อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายในชีวิต มีรถ มีบ้าน แต่งงาน หรือมีครอบครัวก็ตาม
เมื่อเวลาสักวันมาถึง เราก็จะเป็นแบบนั้นได้ ถ้าประสบการณ์ทำงานเพิ่มขึ้น มุมมองกว้างขึ้น ก็จะใช้ความรู้หาเงินได้ ยิ่งศักยภาพสูงมากเท่าไหร่ แหล่งรายได้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนอย่างที่เคยได้ยิน การมีรายได้ที่มากต้องใช้ในความพยายาม หยาดเหงื่อและน้ำตาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์
ยิ่งทำงานหนัก ยิ่งลงทุนเพื่อประสบการณ์ เงินเดือนที่ได้ก็จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป นี่ก็เป็นช่องทางหาเงินที่เรียกว่าดีที่สุด ถ้าขยัน มุ่งมั่น รายได้ก็จะดีขึ้น แต่ปัญหาว่ามันจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวแกเองแล้วว่า จะเริ่มลงมือทำมันเมื่อไหร่ ?
หลังพูดจบ น้องคนเล็กถึงกับยื่นมือไปจับมือพี่คนโตทันที ด้วยความเฉียบขาด ไม่แปลกใจที่ทั้งสามคนจะเข้าใจกันถึงขั้น ‘มองตา ก็รู้ใจ’
หลังคุยกันมาหลายชั่วโมง ก็ถึงเวลาตกเย็น พระอาทิตย์กำลังจะลับท้องฟ้า มีเสียงดังตะโกนออกมาจากครัวหลังบ้าน “แล้วเรื่องของแกล่ะ ไม่มีปัญหาอะไรเหรอ ไอ้ลูกคนโต” แม้จะไม่เห็นหน้าตา แต่ทั้งสามรับรู้ได้ทันทีว่านี่คือเสียงของ ‘พ่อ’ และที่สำคัญพ่อได้ฟังทั้งสามคนคุยกันมาตลอด โดยไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว
“ผมน่ะเหรอ ระดับผู้จัดการ จะมีปัญหาอะไรได้ล่ะพ่อ ชีวิตดีจะตายไป” ลูกคนโต ตะโกนตอบพ่อกลับพร้อมกับยิ้มชอบใจไม่น้อย
“การบาดเจ็บไม่ใช่ผลประโยชน์” แกเคยได้ยินประโยคนี้ไหม?
ถ้าแกใช้พลังงานเพื่อหาเงิน ค่าแรงงานจะถูกคํานวณเป็นเดือน แต่ถ้าใช้เงินเพื่อหาเงิน คุณค่าของแกก็จะไม่มีที่สิ้นสุด” พ่อพูดจบ พร้อมถือจานอาหารมาวางบนโต๊ะ
“มีคนมากมาย ทำงานเพื่อสะสมทุนให้ตัวเอง แต่ไม่รู้จักลงทุน ต่อยอดเงินให้มากขึ้น นี่คือเคล็ดลับจะช่วยให้แก ใช้เงินเพื่อสร้างเงิน”
ทันทีที่พ่อพักหายใจระหว่างประโยค ขณะที่ลูกคนโต กำลังไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อบอก พ่อก็พูดต่อทันที
“วางแผนและเริ่มต้นธุรกิจของสิ่งที่ตลาดต้องการ พูดง่ายๆ คือ การมีใครสักคนที่ขับรถด้วยกัน ความหลงใหลในเส้นทางเดียวกัน จะทำให้เหงาน้อยลงและตัดสินใจได้ฉลาดขึ้น
กลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งที่ดีจะสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่ในการเริ่มต้นธุรกิจ เมื่ออำนาจและทรัพยากรมีอย่างจํากัด
เรียนรู้ช่องทางการลงทุนในตลาด แกสามารถลงทุนในตลาดเพื่อเพิ่มผลกําไร แต่ก็เหมือนกับธุรกิจ ช่องทางการลงทุนมีความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดมากมาย ดังนั้นก่อนที่จะเริ่ม ศึกษาอย่างละเอียดและอย่างจริงจังเพื่อทำความเข้าใจกฎของมัน ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้
เห็นไหมว่า นี่คือสถานการณ์ที่ต้องใช้หัวของแกในการวิเคราะห์และคํานวณรายได้ ความเสี่ยง และควบคุมความซับซ้อนของโลกการเงิน
ถึงตรงนี้ คุณพ่อ แวะจิบน้ำเก๊กฮวยที่มีฟองเย็นๆ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกๆได้ถามเพื่อคลายสงสัยทั้งหมด แต่ที่น่าประหลาดใจคือทุกคนตั้งตารอฟังอย่างใจจดใจจ่อ คุณพ่อจึงเล่าต่อได้ทันที
“หนทางสู่ความสำเร็จที่เร็วสุดคือการเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับการพบครูที่ดี โอกาสที่จะไปได้ไกล ในทิศทางที่ถูกต้องนั้นยิ่งกว้างขึ้นมาก เพราะแบบนี้ ขอให้พวกแกพบครูที่ดีในเร็ววัน เพื่อให้การเดินทางข้างหน้ามั่นคงยิ่งขึ้น พ่อจะรอดูนะ”
จากนั้นบทสนทนาในครั้งนี้ ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในความทรงจำของทั้ง 4 คน
รวมถึงคุณด้วย จริงไหม ?
อ้างอิง:
เรียบเรียงโดย : กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก : Pexels