ว่ากันว่าคนเราควรจะต้องรู้ตัวเองว่าชอบอะไร เพื่อที่จะพาตัวเองไปในจุดหมายได้เสียที แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเลย ว่าความจริงแล้วคนเราก็ควรจะรู้ว่าเราไม่ชอบอะไรด้วย เพราะในชีวิตจริงไม่ใช่ทุกหรอกที่จะได้รู้ว่าชอบอะไรมาตั้งแต่เริ่มต้น
ทุกวันนี้มีผู้คนมหาศาลจากทั่วโลกหมดเวลาไปกับการค้นหาตัวเอง หาแรงบันดาลใจในชีวิต เพื่อจะกลายเป็นคนเก่ง คนสำเร็จในด้านต่าง ๆ ที่ชื่นชอบและสนใจ แต่การจะนำไปสู่เส้นทางพวกนั้นได้ ต้องรู้จักกับจิตวิญญาณของตัวเองให้ดีเสียก่อน
เวลาที่พบเจอผู้คนวิ่งไล่ล่าหาความฝัน ลงมือทำในหลายสิ่งเพื่อทดสอบว่าตัวเองชอบอะไรมากที่สุด มุมหนึ่งมันก็เป็นแรงขับเคลื่อนที่ดีระดับหนึ่ง
แต่อีกมุมก็ทำให้รู้สึกถึงความอ่อนล้าได้เหมือนกัน การที่เห็นใครบางคนกำลังเหนื่อยและอดทนกับสิ่ง ๆ หนึ่ง สำหรับบางคนมันดูทรมานมากเลย แม้ว่าคนเหล่านั้นจะบอกว่า ‘ไหว’ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความท้อแท้ในใจอยู่กลาย ๆ ได้เช่นเดียวกัน
ล่าสุดได้มีโอกาสฟังพอดแคสต์ของชาวต่างชาติคนหนึ่ง เขาคือนักเดินทางที่รักการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ระหว่างที่เขากำลังเดินอยู่ท่ามกลางป่าแห่งหนึ่ง เขาพบว่าความจริงแล้วการเรียนรู้กับสิ่งที่ไม่ชอบคือสิ่งที่สำคัญมาก มากกว่าการรู้จักกับสิ่งที่ชอบเพียงอย่างเดียวด้วยซ้ำไป
แม้ว่าแนวคิดที่อยากจะรู้จักกับสิ่งที่ไม่ชอบ จะมาจากคนที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองชอบอะไร อาจจะฟังดูแปลกสักเล็กน้อย แต่ก็คือข้อดีของเรื่องนี้ เพราะเมื่อคนที่รู้จักกับตัวเองดีอยู่แล้ว ยังอยากรู้จักตัวเองให้ดีขึ้นเลย มันก็คงต้องเป็นเรื่องราวที่ดีอยู่เหมือนกัน…ว่าไหม
สิ่งที่ตามมาเมื่อเราเริ่มจะเรียนรู้ในความไม่ชอบ อย่างแรกคือจะทำให้เราได้รู้จักกับความสัมพันธ์ในชนิดที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น เพราะลองคิดดูว่าถ้าเรารู้ว่าไม่ชอบอะไร เราก็จะแสดงออกในแบบที่เราต้องการ โดยที่ไม่จำเป็นต้องฝืนธรรมชาติสักนิดเดียว
แม้บางครั้งมันต้องแลกมากับความสูญเสียความสัมพันธ์บางอย่าง แต่ก็คุ้มไม่ใช่เหรอที่จะแลกมา เพราะการที่เราเป็นตัวเองนั่นหมายความว่าเราจะรู้สึกสบายเมื่อปลดปล่อยออกมา ไม่ต้องเกร็งหรือทำตัวไม่ถูกและทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ส่วนใครจะแสดงออกกลับมาอย่างไรก็อยู่ที่คนเหล่านั้น ถ้าเขาไม่โอเคก็ยอมรับจะลาจาก ส่วนถ้าเขารับได้ก็ยินดีที่รู้จักกันต่อไป
บางคนอาจรับไม่ได้ในการสูญเสีย ยังไม่พร้อมที่จะต้องบอกลากับสิ่งต่างๆ ที่เข้ามา จนลืมไปว่าในซากปรักหักพังแบบนั้นก็มักจะมีของที่มีค่าซ่อนอยู่เสมอ อยู่ที่ว่าจะมองเห็นคุณค่าของมันในวันไหนเท่านั้นเอง หากมองเห็นในวันที่สายเกินไป ต่อให้ครั้งหนึ่งสิ่งนั้นเคยมีมูลค่ามากแค่ไหนก็ถูกตีค่าอย่างหมดความหมายทุกที
ชื่อของ จอห์น เทมเปิลตัน ถูกจารึกในหน้าของบุคคลที่มีฝีมือในประวัติศาสตร์ของการลงทุนมากที่สุดคนหนึ่ง จนถูกขนานนามว่า “นักลงทุนที่เก่งที่สุดในศตวรรษที่ยี่สิบ”
ผู้บุกเบิกในการลงทุนทางธุรกิจ คือนิกเนมที่สำนักพิมพ์และสื่อหลายแขนงให้นิยามของเขาเอาไว้ แต่ความสำเร็จที่ชายคนนี้เคยสร้างเอาไว้เราจะไม่เอามาพูดกันให้เสียเวลา เพราะมันไม่ได้สำคัญเท่าไหร่นัก สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือวิธีการคิดในแบบของเขาต่างหากที่ชนะเลิศ
ชีวิตที่เริ่มต้นจากงานในตลาดหุ้น สู่ผู้ก่อตั้งกองทุนระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุด จนทำไปทำรู้ตัวอีกที ก็ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกไปแล้ว จนได้รับรางวัลจากหลายสาขาต่าง ๆ มากมาย และทุกวันนี้ก็ยังเป็นเรื่องราวที่มักถูกพูดถึงอยู่เสมอ
นี่คือเรื่องราวในแบบฉบับที่เป็นสูตรสำเร็จ แต่กุญแจสำคัญที่พาเขามาถึงจุดนี้คือการรู้ว่าตัวเองชอบและไม่ชอบอะไร ในวงการลงทุนเป้าหมายคือกำไรให้มากที่สุด แต่ความสำเร็จในด้านมิติที่แท้จริงคือต้องรู้ว่าไม่ชอบอะไรด้วย
จอห์น รู้ดีเหมือนกับทุกคนว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีเสียก่อน และนี่คือจุดแข็งของเขา เขาชื่นชอบในการศึกษาหาข้อมูล ถ้าเรื่องไหนที่เขาคิดว่าตัวเองไม่รู้จริง ก็จะใช้เวลาส่วนมากอุทิตให้กับการเสริมความรู้ของตัวเอง
และเช่นเดียวกัน เรื่องที่เขาไม่ชอบมากที่สุดนั่นคือ ‘ความเสี่ยง’ แน่นอนว่ามันเป็นชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในการลงทุน และในมุมมองของเขาก็เหมือนกัน เขาจะไม่ยอมให้ความเสี่ยงมาพรากความสำเร็จของเขาเป็นอันขาด
มันเกิดขึ้นได้ก็จริง แต่พยายามทำทุกทางเพื่อให้หนทางมันน้อยที่สุดจนแทบไม่มี ด้วยความที่เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาไม่ต้องการเป็นอย่างไร มันก็ทำให้กระบวนการทำงานของเขาง่ายขึ้น และในที่สุดลักษณะนิสัยตรงนี้ทำให้เขาเข้าใจตัวเองมากขึ้น จนปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์
การสร้างรายได้มหาศาลมันไม่เคยเกิดขึ้นจากความบังเอิญ ทุกคนย่อมอยากมีเงินทองที่เป็นเครื่องการันตีความสำเร็จในชีวิต แต่บางคนยังไม่เข้าใจความต้องการในชีวิตของตัวเองเลย แล้วการจะสร้างมูลค่าให้ตัวเองจะก้าวหน้าตามจะเป็นไปได้อย่างไร
คนแย่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิต แม้จะดูไม่น่าคบหาด้วยเพราะคนกลุ่มนี้ต้องการจะดึงส่วนที่เป็นข้อเสียของเราออกมาให้ผู้อื่นเห็น แต่ลองมองดี ๆ มันก็ทำให้เรารู้ว่าว่าข้อเสียในชีวิตเรามันเป็นอย่างไร บางคนมารู้ตัวว่าตัวเองเป็นแบบไหนก็ตอนที่เจอคนที่แย่แบบนี้ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองอีกเลยว่าการเจอคนไม่ดีทำให้เราถึงได้ไปไม่ไกล
แต่จงเข้าใจตัวเองให้ดีเสียก่อนจะรู้จักกับใคร
เพราะสุดท้ายไม่มีใครเข้าใจเราได้ดี…เท่าตัวเราเอง
..
อ้างอิง: หนังสือ The templeton Plan
เรียบเรียงโดย: กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก Freepik