ทุกคนลองนึกย้อนมองกลับไปถึงช่วงเวลาในเมื่อก่อนดูสิ (ถ้าคุณเกิดไม่ทันก็ลองนึกภาพตามดูนะ) ว่ากว่าที่คุณจะคุยกับใครสักคนหนึ่งให้เข้าใจจบจบเรื่องแต่ละที บางครั้งต้องรอจดหมายเป็นอาทิตย์หรือกระทั่งเป็นเดือนๆ ก็มี (นี่ยังไม่นับรวมเวลาที่จดหมายของเราจะส่งถึงใครคนหนึ่งอีกนะ) จนแปรจากความคิดถึงกลายเป็นความโหยหา หรือแม้แต่จากความรักหวานฉ่ำก็กลายเป็นเลิกรากันไป คงเพราะด้วยระยะทางที่ห่างไกลกับระยะเวลาที่เฝ้ารอจดหมายกันละมั้ง…แต่นั่นแหละคือมนต์เสน่ห์ของสมัยนั้น
จวบจนกาลเวลาผ่านไปจากคำสื่อสารที่ส่งผ่านตัวอักษรบนหน้ากระดาษก็พัฒนาให้กลายมาเป็นการส่งเสียง เป็นอีกก้าวของมนุษย์ที่สามารถสร้างเครื่องมือที่ใช้ติดต่อใครสักคนโดยไม่ต้องรอเวลา เพียงแค่กดนิ้วจิ้มไปที่ปุ่มหมายเลขของคนอีกฝ่าย คุณและเขาต่างก็ได้ยินเสียง ฉะนั้นการจะคุยกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้จบลงภายในเวลาไม่กี่นาทีหรือชั่วโมงก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร อาจจะติดแค่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่มีเพียงไม่กี่อย่าง ไม่เรื่องของสัญญาณก็เรื่องของค่าใช้จ่าย แต่สุดท้ายทุกอย่างมันก็ถูกพัฒนาไปในแนวทางที่ดีขึ้นตามระยะเวลาและทุกวันนี้ก็ยังคงมีการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง
จนวันหนึ่งจากการสื่อสารทางไกลกันด้วยเสียงเพียงแค่ยกหูโทรศัพท์ขึ้นก็ดูจะกลายเป็นแนวคิดที่ไม่เพอร์เฟคอีกต่อไป เมื่อวันหนึ่งมีการคิดค้นสร้างและพัฒนาการ Video Call ขึ้นโดยนาย Bell Telephone เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1964 ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงผลงานของงาน World’s Fair ที่จัดขึ้นในกรุงนิวยอร์ค และต่อมาก็ได้ถูกพัฒนาและใช้งานกันอย่างมากมายในหลายกิจกรรม ซึ่ง Skype จัดเป็นเจ้าแรกๆ ที่พัฒนาเทคโนโลยีตัวนี้ออกมาให้คนทั่วไปได้ใช้งาน ก่อนจะตามมาด้วยหลายๆ แบรนด์ ที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันดีก็มี Facetime, Line Video Call, Facebook Messenger ฯลฯ
ซึ่งจริงๆ แล้วการติดต่อกันผ่าน Video Call ต่างๆ ก็เหมือนเป็นการขยับโลกความเป็นจริงให้เข้าสู่ความเป็น Metaverse แล้ว เพราะแม้จะอยู่คนละเมือง คนละประเทศ หรือแม้แต่คนละซีกโลก แต่คุณก็ยังสามารถที่จะเห็นหน้าค่าตาและต่อบทสนทนาระหว่างกันได้โดยไม่รู้จบ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีเรื่องของโรคระบาดเข้ามาเกี่ยวข้องเลยด้วยซ้ำ แต่มนุษย์ก็สามารถพัฒนาเทคโนโลยีไปได้ไกลขนาดนี้ ก็เหมือนก้าวขาเข้าไปเหยียบโลก Metaverse แล้วอย่างน้อยก็ก้าวหนึ่ง
อย่างจั่วหัวของบทความนี้ที่เราขอหยิบยืมมาจากกิจกรรมล้อมวงคุยของ ดร. วศิน เพราะเป็นประโยคที่ฟังแล้วสามารถนึกภาพตามได้อย่างชัดเจน (ใช่ มันจริงอย่างที่ ดร. พูดเลย) ในยุคที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่แต่บ้าน/ห้องสี่เหลี่ยมด้วยเพราะสถานการณ์ที่มันบีบบังคับ โควิดมันเหมือนยาที่มีสารกระตุ้นให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีตัวนี้ได้ก้าวไปได้ไกลมากยิ่งขึ้น เพราะแน่นอนอยู่แล้วว่าทุกวันนี้มีคนมากกว่าครึ่งที่ทำงานหรือเรียนในรูปแบบของการ Work From Home (WFH) กลายเป็นว่าหลายคนต้องเริ่มเรียนรู้กับการจัดการในระบบออนไลน์กันใหม่เพื่อทำงานของตัวเองใหม่ บางคนไม่เคยต้องแตะต้องเทคโนโลยีตัวนี้เลย แต่สุดท้ายต้องปรับตัวเพราะความจำเป็น (ต้องใช้คำว่าจำเป็นเลยนะ เพราะบางคนก็ต้องฝืนทำจริงๆ) ครูกับนักเรียนต้องทำกิจกรรมในห้องเรียนกันผ่านโลกออนไลน์ คนหลายกลุ่มก็ทำงานผ่านจอ ยังไม่นับรวมไปถึงการใช้ชีวิตในเรื่องอื่นๆ ทั้งการซื้อของหรือทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ที่สามารถจัดการได้ง่ายๆ ผ่านสมาร์ทโฟนที่ทุกคนส่วนใหญ่ต่างมีกันอยู่แล้ว
เอาเข้าจริงๆ แล้วพวกเราอาจจะใช้ชีวิตอยู่ในโลก Metaverse กันมาก่อนที่จะเกิดโรคระบาดเสียอีก เพียงแต่มันจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นมนุษย์ Metaverse แบบเต็มตัว ต่อไปในวันข้างหน้าเทคโนโลยีนี้อาจจะพัฒนาไปถึงขั้นที่ไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหนๆ ต่างก็นั่งทำงานอยู่บ้าน แต่สามารถมีตัวตนเดินไปมาได้ในบริษัทด้วยการฉายภาพโฮโลแกรม ถ้าใครเคยดูหนังในตระกูล Avengers ของจักรวาล Marvels ก็จะเห็นเทคโนโลยีนี้ปรากฏขึ้นในหลายๆ ครั้ง หรืออาจจะสามารถไปเดินเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ โดยใช้พื้นที่ในห้องนอนก็เป็นได้นะ
อ้างอิง: ขอบคุณ ดร. วิศิน ตรีสินธุรส จากกิจกรรมล้อมวงคุยในหัวข้อ “การลงทุนใน Crypto”
เรียบเรียงโดย: ฐานิต ดงหงษ์
กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels และ Pixabay