สิ้นเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง ทุกคนในโรงภาพยนตร์ต่างชื่นชมในผลงานสุดน่าทึ่งกับภาพยนตร์ที่อยู่ตรงหน้า แล้วเรื่องนั้นคือ Jurassic Park ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์อีกมากมาย
ย้อนกลับไปในยุค 90 ตอนต้น วงการภาพยนตร์เริ่มได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักในวงกว้างอยู่เรื่อย ๆ มีภาพยนตร์มากมายที่ถูกสร้างขึ้น จนโด่งดังเป็นตำนานถึงทุกวันนี้
ประเภทของภาพยนตร์ก็อาจจะยังไม่หลากหลายมากนัก ทำให้เป็นโอกาสทองให้ผู้ชายคนหนึ่งได้พบช่องทางนำเสนอเรื่องราวในแบบใหม่ดู ชายคนนั้นคือ “สตีเวน สปีลเบิร์ก”
ในปี 1993 Jurassic Park ได้เข้าโรงฉายเป็นครั้งแรก ซึ่งทันทีที่เข้าฉายและนับแต่นั้นเป็นต้นมา เหมือนปลุกวิญญาณให้ไดโนเสาร์มีชีวิตอีกครั้งจนมาถึงทุกวันนี้
ถ้าจะวัดว่าความสำเร็จของ Jurassic Park อยู่ในระดับใดก็คงไม่ต้องอธิบายให้เสียเวลา ในเรื่องของรายได้รวมทั่วโลกก็แค่ประมาณ 912 ล้านเหรียญเท่านั้นเอง!
หรือถ้ารายได้ยังการันตีไม่มากพอ อยากให้ลองสำรวจรอบข้างตอนนี้ก็ยังได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพจำหรือไอคอน แม้แต่ชื่อ ก็ยังคงเป็นที่จดจำต่อทุกคนในทุกยุคสมัยอย่างไม่มีตกจริงๆ
ปัจจัยหนึ่งน่าจะมาจากชื่อของ “สตีเวน สปีลเบิร์ก” ที่ชื่อนี้รับรองคุณภาพได้อยู่แล้ว เพราะว่าแม้เรื่องราวของไดโนเสาร์จะฮิตแค่ไหน นี่ก็ยังไม่ใช่เรื่องแจ้งเกิดของสตีเวนอยู่ดี
คอหนังทั้งหลายอาจจะรู้กันอยู่แล้วว่าเรื่องแจ้งเกิดของผู้กำกับชาวอเมริกันผู้นี้คือ JAWS หนังฉลามสุดคลาสสิคตลอดกาล ถือเป็นการพลิกชีวิตให้เขากลายเป็นผู้กำกับแถวหน้าในวงการฮอลลีวูด ด้วยการหยิบจับเรื่องที่ดูจะธรรมดา มาเล่าเรื่องในแบบที่เขาถนัด ทุกองค์ประกอบนั้นดีไปหมด จนเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า “บล็อกบัสเตอร์”
เรื่องราวแห่งความสำเร็จมากมายที่ผ่านเข้ามาล้วนแล้วแต่มาจากความสามารถของเขาทั้งนั้น ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความรู้ ความสนใจ และประสบการณ์ที่สั่งสมมา
เพราะเมื่อย้อนไทม์ไลน์กลับไปดูเส้นทางชีวิต การมาถึงจุดนี้แทบเป็นเรื่องยากจนเกือบเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็มักเป็นไปได้เสมอ
เมื่อพูดถึงวัยเด็กของเจ้าหนูสตีเวนในตอนนั้น ทุกอย่างก็ควรจะเป็นไปตามธรรมชาติ ยกเว้นเพียงแต่ว่า ด้วยภาระหน้าที่ทำให้พ่อและเขาต้องย้ายสถานที่อยู่บ่อย ๆ
ซึ่งนั่นนำมาสู่การปรับตัวใหม่ทุกครั้ง ในมุมหนึ่งอาจมองว่าเป็นเรื่องดี แต่ใครจะรู้ว่านี่คือปัญหาที่อยู่กับเด็กน้อยคนนี้ตลอด เขาแทบไม่มีเพื่อนสนิทเลย มิหนำซ้ำยังมักจะถูกแกล้งจากเด็กในระแวกแถวบ้านอยู่เสมอ อาจเพราะด้วยความที่ตัวคนคนเดียว
ความเหงากำลังก่อตัวใหญ่ขึ้น สิ่งเดียวที่จะทำให้ไม่โดดเดี่ยว คือการลองเล่นกับจินตนาการของตัวเอง เขามักหากิจกรรมทำตามประสาเด็กคนหนึ่ง แต่ไม่ว่าอะไรก็ดูจะไม่ค่อยถนัด
กระทั่งวันหนึ่งได้บังเอิญไปเล่นกับกล้องตัวหนึ่งของพ่อ สายตาที่มองผ่านเลนส์ทำให้ชวนหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก พร้อมกับมีหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจเป็นที่มาของทุกสิ่งในวันนี้
คือในค่ำคืนของวันหนึ่ง พ่อได้ปลุกสตีเวนเพื่อไปสถานที่บางแห่ง ด้วยความมึนงงและสงสัยแต่ก็ต้องไปกับพ่อ เมื่อถึงที่หมายและเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า พบว่าพ่อได้พาเขามาดูดาวตก
นั่นคือครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้เห็นดาวตกด้วยตัวเอง ในหัวมีหลายอย่างเต็มไปหมด โดยรวมนี่คือความรู้สึกดีที่สุดครั้งหนึ่ง มันทำให้เขาถูกเติมเต็มทุกอย่างและกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง บาดแผลต่าง ๆ ในใจก็ถูกคลายออก พร้อมกับรู้ว่าอะไรคือความฝันของตัวเองอย่างแท้จริง
จากนั้นเขาเริ่มเดินหน้าไปในทางที่ชอบ เริ่มจากถ่ายหนังสั้น ขยับขยายขอบเขตไปเรื่อยจนพอเริ่มได้เห็นทิศทางมากขึ้น ค่อยๆสานฝันพร้อมสร้างตัวตนขึ้นมาจนมีทุกอย่างในวันนี้
เรื่องราวของ สตีเวน สปีลเบิร์ก หากมองผิวเผินก็เป็นแบบฟอร์มความสำเร็จทั่วไป ที่ก่อนจะพบทางสว่างสดใส ต้องล้มลุกคลุกคลานพอสมควร กว่าจะได้เป็นที่รู้จักแบบตอนนี้
แต่ในอีกมุม ก็เป็นการตอกย้ำว่า โชคชะตาบางครั้งเราทุกคนก็ไม่สามารถกำหนดได้ด้วยตัวเอง รากฐานชีวิต พื้นฐานครอบครัว ด้วยความที่ประสบการณ์ไม่มากพอก็ต้องยอมรับ
เพียงแต่ สิ่งสำคัญคือเมื่อช่วงของการเติบโต หลายคนโชคดีที่รู้ตัวเองเร็วว่าชอบอะไร กำหนดเส้นทางได้ง่าย แต่หากใครที่คิดว่านั่นไม่ใช่กับเรา ไม่เคยมีสักครั้งที่เรารู้ตัวว่าชอบอะไร
เราเชื่อว่าทุกจังหวะชีวิต ส่งสัญญาณมาหาเราอยู่เสมอ ขอแค่ลองหันมองรอบตัวดูอีกครั้ง ก็อาจจะเจอสิ่งที่ตามหา
โชคชะตาอาจเป็นอะไรที่ต้องยอมรับ แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งจะรู้ได้เองว่า เราก็สามารถได้รับชัยชนะจากโชคชะตาได้เหมือนกัน ไม่ว่าใครจะเคยเป็นอะไรมา ก็สามารถเป็นแบบที่ต้องการได้
เพราะฉะนั้น ความฝันจะไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ แต่นี่คือชนวนจุดประกายแรงบันดาลใจให้เรามีเส้นทางในแบบที่เลือก
เป็นเรื่องง่ายมากที่จะมีฝัน ใครๆก็มีได้ แต่การจะโฟกัสอย่างแน่วแน่นี่สิเรื่องยากยิ่งกว่า มากไปกว่านั้น หนึ่งเรื่องที่ทำให้ฝันของใครต้องล่มสลาย มักมาจากความคิดที่ว่า “เท่านี้ก็พอแล้ว”
เพราะทันที่ที่เราคิดว่าพอแล้ว มีคนอีกมากมายกำลังต่อสู้และทำงานอย่างหนัก และถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไป สักวันชัยชนะจะไม่ตกมาอยู่ข้างเราอีกต่อไปแน่นอน
จริงอยู่ที่การเอาชนะไม่จำเป็นสำหรับทุกเรื่อง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเราคิดโหยหาชัยชนะมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้เราไม่หยุดพัฒนาตัวเองมากขึ้นไปเท่านั้น
บางทีความอยากเอาชนะ ก็พามาสู่ชัยชนะที่เราตามหา และถึงแม้ครั้งนี้เราชนะ ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งหน้าเรายังคงชนะ มีคนมากมายต้องการ นี่เป็นสิ่งที่คอยเตือนให้เราอยู่ในเส้นทาง
เชื่อว่าทุกคนมีความพยายามในตัวเอง นำมันออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์เสีย ก่อนที่อะไรจะสายไปกว่านี้ ชัยชนะไม่ได้วิ่งเข้ามาหาใครง่ายๆ ถึงเวลาที่ต้องวิ่งเข้าไปหามันแทน
และหวังว่าเราจะได้พบกันอีก ณ ปลายทางอย่างที่ตั้งใจไว้…
…
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ภาพประกอบจาก : Pexel