เมื่อคุณโดนทวงหนี้เกินจริง !
เจ้าหนี้เพิ่มยอดหนี้ในสัญญาเอง (ขี้โกงแบบนี้ ไม่จ่ายเงินคืนได้ไหม ?)
คุณเคยเจอเจ้าหนี้ขี้โกงไหม…
ตอนยืมเขามา เราได้แค่ 50,000
รู้ตัวอีกที โดนทวงหนี้ตั้ง 150,000 !
เจอแบบนี้เข้าไป งงเป็นไก่ตาแตกเลยทีเดียว
เป็นเจ้าหนี้..จะทวงเงินมั่วซั่วแบบนี้ก็ได้เหรอ ?
ด้วยความหัวร้อนที่โดนทวงเงินเกินความเป็นจริง ลูกหนี้จึงถามหาหลักฐานด้วยความมั่นใจ
“ขอดูสัญญาที่ฉันเซ็นเองกับมือหน่อยสิ”
เวลาผ่านไปไม่นาน เอกสารการกู้ยืมดังกล่าวก็ถูกวางลงตรงหน้า พร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยแผนการของเจ้าหนี้ตัวแสบ
เอาล่ะ…ซวยแล้ว นอกจากเป็นหนี้แล้วยังโดนโกง
ยอดหนี้ที่ปรากฏอยู่ในสัญญาถูกเติมเลข 1 ไปข้างหน้า
จากหนี้ห้าหมื่น จึงกลายเป็นแสนห้าไปโดนไม่ทันตั้งตัว
เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นจริง และมีเยอะด้วย
แต่ลูกหนี้ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าควรหาทางออกอย่างไร
คิดว่าเจ้าหนี้มีหลักฐานเป็นเอกสารการกู้ยืม จึงไม่กล้าขัดขืน กลัวโดนฟ้อง กลัวโดนข่มขู่ สุดท้ายก็ยอมชดใช้เงินตามที่เจ้าหนี้สั่ง
จากหนี้เบา จึงกลายเป็นหนี้หนักไปโดยไม่สมควร เพราะฉะนั้น…อย่ายอม
เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น คนแรกที่คุณควรนึกถึงคือ ‘ทนาย’
ไปปรึกษาทนายเพื่อขอคำแนะนำ ว่าเจอเจ้าหนี้หน้าเลือดแบบนี้ควรทำอย่างไร
แต่คำถามแรกที่คุณควรรู้คำตอบ คือ…
เจ้าหนี้เพิ่มหนี้เองในสัญญาก็ได้เหรอ ?
แน่นอนว่า ‘ไม่ได้เด็ดขาด’
เจ้าหนี้จะแก้ไขหรือเพิ่มตัวเลขลงไปในเอกสารการกู้ยืม เพื่อทำให้ยอดหนี้ของเราสูงปรี๊ดไม่ได้ และถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ลูกหนี้ไม่ไจำเป็นต้องจ่ายทั้งหมดตามที่เจ้าหนี้เรียกร้อง เพราะถือว่าเอกสารเงินกู้ดังกล่าวไม่ตรงกับความจริง เพราะฉะนั้นเรายังมีสิทธิ์ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมได้อยู่
ไม่จ่ายเงินคืนเลยได้ไหม เจ้าหนี้ทำแบบนี้มันเสียความรู้สึก !
คำตอบคือ..’ไม่ได้’
ถึงแม้เจ้าหนี้จะทำแสบเอาไว้มาก แต่เราก็ยังต้องชดใช้เงินในส่วนที่กู้ยืมมาจริงดังเดิม โดยเฉพาะเมื่อการกู้ยืมนั้นเป็นจำนวนเงินมากกว่าสองพันบาทขึ้นไป
เนื่องจาก สัญญาเงินกู้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคแรก ได้บอกเอาไว้ว่า…
‘การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาไม่ได้’
นั่นหมายความว่า ถ้าลูกหนี้ไปกู้ยืมเงินเจ้าหนี้มามากกว่าสองพันบาทขึ้นไป แล้วมีหนังสือ เช่น สัญญาเงินกู้ แล้วผู้กู้เองก็ได้ลงชื่อเอาไว้ หากเราไม่จ่ายเงินคืน เจ้าหนี้จะสามสรถฟ้องร้องเราได้
เราจึงได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วว่า…
“หากกู้มาจริง ไม่จ่ายไม่ได้เด็ดขาด”
เพราะถึงแม้เจ้าหนี้จะคิดโกงเราด้วยการแก้ไขปรับเปลี่ยนตัวเลขในเอกสารสัญญา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หลักฐานแห่งการกู้ยืมที่ทำไว้เดิม ซึ่งมีผลโดยสมบูรณ์ต้องเสียไป
เช่น หากคุณกู้เงินมาจริง 50,000 บาท ทางที่ดีที่สุดคือ คุณต้องเคลียร์หนี้ตามจำนวนที่กู้มาจริงให้ได้ 50,000 บาท แต่หนี้หนัก 150,000 บาทนั้น ไม่ต้องจ่าย
เราเปลี่ยนหนี้หนักเป็นหนี้เบาได้ แต่เปลี่ยนหนี้หนัก ให้กลายเป็นไม่มีหนี้เลยไม่ได้
กู้ยืมไว้อย่างไร ก็ต้องรับผิดชอบตามนั้น
ในกรณีที่ลูกหนี้ลงชื่อไว้ในกระดาษเปล่า แล้วเจ้าหนี้ดันไปใส่ตัวเลขเกินจริง
เช่น เรากู้เงินเขาไป 10,000 บาท แล้วลงลายมือชื่อไว้ในกระดาษเปล่าๆ ต่อมาภายหลังเราไม่มีเงินจ่าย เจ้าหนี้เขาก็จะฟ้องเรา โดยการนำหลักฐานกระดาษเปล่าแผ่นนั้นที่เราลงชื่อเอาไว้ ไปเขียนเองว่าเรายืมเขามา 100,000 บาท โดยที่เราไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยแต่อย่างใด
เจ้าหนี้ทำแบบนี้…ไม่ได้เด็ดขาด
เพราะการที่เจ้าหนี้กรอกข้อความและจำนวนเงินกู้อันไม่เป็นความจริง แล้วนำเอกสารนั้นมาฟ้อง ศาลฎีกาท่านมองว่าเอกสารดังกล่าวคือ “เอกสารปลอม”
เจ้าหนี้จึงไม่อาจอ้างเอกสารดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ถือว่าไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคหนึ่ง
แต่…ในอีกกรณีหนึ่ง
ถ้าเจ้าหนี้นำเอกสารเปล่า (ที่เราลงลายมือชื่อไว้) ไปกรอกข้อความและจำนวนเงินที่กู้ยืมเองตามความเป็นจริง
แบบนี้เจ้าหนี้สามารถใช้อ้างเป็นหลักฐานฟ้องบังคับคดีกับเราได้ ไม่มีปัญหาอะไร
เพราะฉะนั้น อย่าให้เขาโกงเรา…แต่เราก็ห้ามเบี้ยวหนี้ ห้ามหนี ไม่ยอมจ่ายเด็ดขาด
. . .
อย่างที่ว่า…
เราเปลี่ยนหนี้หนักเป็นหนี้เบาได้
แต่เปลี่ยนหนี้หนัก ให้กลายเป็นไม่มีหนี้เลยไม่ได้
กู้ยืมไว้อย่างไร ให้จ่ายไปตามจริง
แต่ถ้าโดนโกงเมื่อไหร่…อย่าไปยอม
อ้างอิง : ข้อมูลจากหนังสือ : เคลียร์หนี้ ทีเดียวจบ
เขียนโดย ขจรพัฒน์ สุขถัทราพิรมย์
. . .
บทความโดย : กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์ 7D Book & Digital
ขอบคุณรูปภาพจาก : เว็บไซต์ Pexels