7 คำถามเรื่องการเงิน
หากตอบได้ แสดงว่าคุณมีโอกาสรวยสูงมาก !
คุณเป็นอีกคนหนึ่งหรือเปล่า…
ที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดตอนดูยอดเงินคงเหลือในบัญชี ?
ถ้าใช่…นั่นหมายความได้อย่างเดียวว่า คุณกำลังตกที่นั่งลำบากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อยู่อย่างแน่นอน
และถ้าคุณกำลังขาดสภาพคล่องอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่า..ทำงานเท่าไหร่ ก็ยังไม่มีเงินเก็บสักที แถมยังมีหนี้ก้อนโตที่โดนเจ้าหนี้ตามทวงยิก ๆ อยู่ทุกเดือน
แบบนี้…ถือว่าอาการน่าเป็นห่วงแล้วนะ
และคงไม่ดีแน่ ถ้าจะปล่อยให้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังทางการเงิน ต้องรีบหาทางออกโดยด่วน
แล้ว..ทำอย่างไรเงินในกระเป๋าถึงจะงอกเงยออกมาล่ะ ?
ก่อนอื่น…ลองตอบคำถามเหล่านี้ดู แล้วคุณจะเจอทางออก
เพราะวิธีแก้ปัญหา มันอยู่ในคำถามทั้ง 7 ข้อนี้แหละ
พันเอก ดร.อรรถสิทธิ์ หัสถีธรรม (ดร.หนุ่ย)
ผู้เขียนหนังสือ จากมนุษย์พันธุ์ติดลบ กลับมาสร้าง 15 ล้าน ใน 3 ขั้นตอน
ได้ตั้งคำถามทางการเงินเอาไว้ 7 ข้อ เราจะสรุปให้ทุกท่านอ่านกัน โดยเริ่มจากคำถามข้อที่ 1
. . .
คำถามที่ 1 :
คุณคิดบวก หรือคิดลบ เกี่ยวกับเรื่องเงิน?
คนส่วนใหญ่มักมีแนวคิดแง่ลบเกี่ยวกับการหาเงิน
“มันเหนื่อย มันยาก ต้นทุนต่ำ ทางเดินชีวิตช่างไม่ราบรื่นเอาเสียเลย”
เป็นเรื่องธรรมดาที่คนส่วนใหญ่จะนั่งกุมขมับหลังจากมองเงินในกระเป๋าที่ค่อย ๆ หมดไป พอนึกถึงตอนหาเงิน ก็ยิ่งท้อ.. เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ที่ทำให้คนจำนวนมากมองว่า ‘เงินน่ะหายากมาก’ พาลให้ขาดความมั่นใจและคิดว่าตนไม่สามารถหาเงินจำนวนมาก ๆ ได้แน่
ดร.หนุ่ยกล่าวถึงประเด็นนี้เอาไว้ว่า…
‘วิธีคิดลบ ๆ หรือสับสนเกี่ยวกับเรื่องเงินจะทำให้เราเครียดกับชีวิต เช่น เครียดกับการหาเงิน หรือสร้างรายได้ และสถานการณ์เหล่านั้นจะนำไปสู่ความกลัวในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เนื่องจากว่าเราไม่สามารถควบคุมจัดการเงินของเราได้’
ซึ่งแนวคิดทางการเงินในด้านลบของเรานี่แหละ ที่จะทำให้เราไม่สามารถมีสภาพคล่องทางการเงินได้
แล้ววิธีแก้ปัญหาคืออะไรล่ะ ?
ในกรณีที่ในหัวเรามีแต่เรื่องลบ ๆ วิธีแก้มีทางเดียวเท่านั้นคือ “ปรับเปลี่ยนมุมมองหรือวิธีคิด” เกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของตัวเอง
“คิดบวกกับเรื่องเงินให้ได้” พยายามมองมุมกลับ ปรับแนวคิดเสียใหม่ คิดไว้เสมอว่าจริง ๆ แล้วโลกของเรามันไม่ได้โหดร้ายถึงเพียงนั้น ในสถานการณ์แย่ ๆ บางทีก็ยังมีเรื่องดี ๆ อยู่บ้าง และที่สำคัญโอกาสหลายอย่าง ก็มักจะมาตอนเรากำลังเจอวิกฤตเสมอ
แล้วถ้ายังคิดลบเรื่องเงินต่อไป จะเป็นไง ?
ยกตัวอย่างให้เห็นกันชัด ๆ คงหนีไม่พ้นโฆษณา “จน เครียด กินเหล่า” ที่โด่งดัง
ดูสิ…จน แล้วเครียด แต่ไม่หาทางออก แถมยังเอาเงินไปผลาญกับสุรายาเมาอีก สุดท้ายชีวิตจึงวนเวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งความจน พัฒนาขึ้นมาได้ยากมาก
แต่ถ้าลองเปลี่ยนแนวคิดเป็น “พรุ่งนี้ข้ารวย ข้าชิล ข้าโคตรมีความสุข”
คิดแบบนี้ทุกวันเพื่อกระตุ้นตัวเองให้ออกไปทำงานหาเงิน ก็พูดไปแล้วอะเนอะ ถ้าไม่รวยจริงจะขายขี้หน้าคนฟังเอา
ความคิดนี้จึงทำให้เรายิ่งขยัน ยิ่งอยากมีเงิน แล้วพฤติกรรมการหาเงินของเราจะดีขึ้นอย่างถนัดตา
เห็นไหม…วิธีแก้ปัญหา เริ่มจากแนวคิดของเราเสมอ
คำถามที่ 2 :
คุณพูดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ?
คนส่วนใหญ่มักมองว่า การพูดคุยเรื่องเงินทองกับผู้อื่นเป็นเรื่องไม่สุภาพ ก็เลยชอบหนี..หลีกเลี่ยง ไม่เอาดีกว่า…ไม่พูดดีกว่า
สุดท้าย เราจึงอึดอัดใจมาก และนำไปสู่ความขัดแย้งเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
ลองปรับแนวคิดใหม่กันไหม เพราะอันที่จริงแล้ว…การพูดเรื่องเงินบ่อย ๆ มีแต่ผลดีนะ
การพูดคุยเรื่องเงินทองกับคนอื่นเสียบ้าง จะทำให้เราเห็นมุมมองการหาเงินแบบใหม่ หรือแนวคิดเรื่องการเก็บเงิน และอาจได้รู้วิธีต่อยอดการลงทุนที่คุ้มค่า
การไม่พูดเรื่องเงินเลย อาจมีผลเสียตามมา
โดยเฉพาะเมื่อเราเจอกับปัญหาทางการเงิน หากไม่พูด ไม่ถามเสียบ้าง จะยิ่งหาทางแก้ลำบาก
ถ้าไม่กล้าพูดกับคนอื่น อย่างน้อยก็คุยกับคนในครอบครัวเพื่อหาทางออก เพื่อปลดทุกข์บ้าง หรือหาคนใกล้ตัวที่สำเร็จสักคน แล้วถามเขาดูสิ ว่าถ้าเขาเจอปัญหานี้ จะแก้อย่างไร
คำถามที่ 3 :
คุณมีวิธีการใช้จ่ายเงินอย่างไร?
ข้อนี้สำคัญมาก…เพราะมันกำหนดชะตาชีวิตเราได้เลย
จำไว้นะ…’อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายเงินในปัจจุบัน’
หลักการง่าย ๆ คือ ใช้จ่าย ให้น้อยกว่ารายได้ของเรา
ที่สำคัญคือต้อง ‘เก็บออม’ และแบ่งไว้ ‘ลงทุน’ บ้าง
อย่าใช้เกินตัว อย่าใช้อย่างเดียว อย่าจ่ายจนเพลิน ตัดสิ่งไม่จำเป็นบ้าง และอย่าเสพติดของแพงจนมึนเมา
หาวิธีจัดการเงินที่เข้ากับตัวเองมาใช้ จดรายรับ-รายจ่ายบ้าง เพื่อให้รู้ว่าตัวเองใช้ไปเท่าไหร่
เมื่อเห็นภาพรวมแล้วว่าเราใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง เราจะจัดการเงินในกระเป๋าได้ง่ายขึ้น
คำถามที่ 4 :
คุณมีแผนการใช้จ่ายเงินหรือไม่?
ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ต้องมีแผน ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเงิน
เพราะการใช้จ่ายเงินที่มีประสิทธิภาพ เกิดขึ้นจากการวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ
เมื่อแผนการใช้เงินของเราดี และมีหลักการ เราจะรู้ว่าควรใช้จ่ายกับอะไร ควรเก็บเงินไว้ตรงไหน แล้วอะไรคือความเร่งด่วนในการใช้เงินของเรา
. . .
คำถามที่ 5 :
วินัยทางการเงินของคุณเป็นอย่างไร?
ต่อเนื่องจากคำถามข้อที่ 4 คือ วินัย
เพราะสิ่งที่จะช่วยให้แผนของเรามีประสิทธิภาพและเกิดผลลัพธ์ คือ การมีวินัยทางการเงินของตัวเอง
แต่ความมีวินัย จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราจัดการกับความอยากได้ อยากมี ในสิ่งที่ไม่จำเป็นได้อย่างเด็ดขาด เพราะมันเป็นตัวร้ายที่จะเข้ามาพังแผนและเป้าหมายทางการเงินของเราให้ล้มเหลวย่อยยับ
เมื่อมีแผน..บังคับตัวเองให้ทำตามแผนให้ได้
อย่าออกนอกลู่นอกทาง ประมาณว่า อยากได้อะไรก็ซื้อ อยากมีอะไรก็จ่ายเอาง่ายๆ
เพราะถ้าทำแบบนี้บ่อย ๆ แผนที่วางไว้คงพังไปหมดแน่นอน
คำถามที่ 6 :
คุณมีความชาญฉลาดในเรื่องการออมแค่ไหน?
อยากมีเงิน ต้องเริ่มจากการออม
แต่การออมนั้นไม่ได้ทำง่ายอย่างที่คิด โดยเฉพาะเมื่อเราไม่มีแผน เพราะมันอาจเข้ามากระทบชีวิตในมิติอื่น ๆ ของเราได้
จะออม…ต้องออมอย่างฉลาดและมีแผน
เก็บออมอย่าไงไรก็ได้ แต่ต้องไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่กระทบกับคนในครอบครัว
จัดสรรให้ได้ จะใช้เท่าไหร่ จะเก็บออมเท่าไหร่ แล้วการเงินของคุณจะอยู่ในสภาพคล่อง
คำถามที่ 7 :
คุณวางแผนออมเงินไว้ใช้หลังเกษียณหรือยัง?
คนเรา…เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องถึงวัยเกษียณ โดยเฉพาะคนที่ทำงานในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรของภาครัฐหรือเอกชน ดังนั้น เราต้องเตรียมการเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เอาไว้ใช้หลังเกษียณ
โดยทั่วไปแล้ว เราควรจะวางแผนการออมประมาณ 15%-20% ของรายได้ เพื่อเอาไว้ใช้จ่ายในชีวิตหลังเกษียณ
แต่อย่างไรก็ตาม..คนส่วนใหญ่รู้ แต่ก็ทำตามที่คิดเอาไว้ไม่ได้ เนื่องจากขาดการวางแผนเรืองการเงินเอาไว้ตั้งแต่หนุ่มสาว
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มคิดวางแผนเสียตั้งแต่วันนี้ ยิ่งเร็ว ยิ่งดี
ศึกษาเรื่องรูปแบบการออมเงินให้เยอะ แล้วจะรู้ว่ามันมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบมีผลตอบแทนต่างกัน และมีระดับความเสี่ยงไม่เท่ากัน
หากเรามีเงินเก็บมากพอ ชีวิตหลังเกษียณของเราก็สบาย
ถ้ามีเงินพอให้กิน เที่ยว ใช้ชีวิต และรักษาตัวได้ในยามป่วย จึงจะเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนหลังทำงานหนักมานานอย่างแท้จริง
อ้างอิง : ข้อมูลจากหนังสือ จากมนุษย์พันธุ์ติดลบ กลับมาสร้าง 15 ล้าน ใน 3 ขั้นตอน | เขียนโดย พันเอก ดร.อรรถสิทธิ์ หัสถีธรรม (ดร.หนุ่ย)
บทความโดย : กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ 7D Book & Digital