เรียนรู้เรื่อง HR ประสาธุรกิจครอบครัว ตอนที่ 2
ดร.ฐิติวรรณ สินธุ์นอก ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์การ ประสบการณ์ในสายงานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และองค์การกว่า 20 ปี
กลับมาต่อจากตอนที่แล้วที่ว่าด้วย HR ประสาธุรกิจครอบครัว ตอนที่ 2 กันเลยค่ะ
6. การสอนคนให้เป็นผู้ใหญ่
ที่ผู้ประกอบการหรือนายจ้างหรือเจ้าของกิจการจะต้องปฏิบัติโดยไม่มีใครต้องบังคับ เพราะถ้าเรามีลูกจ้างที่ต้องยืนคุมให้ทำงานอยู่ตลอดเวลาเขาเรียกว่า กรรมกร
ถ้าเรามีลูกจ้างที่ตั้งใจทำงานโดยต้องให้คำแนะนำ บ้างเป็นครั้งคราวเขาเรียกว่า พนักงาน
ถ้าเรามีลูกจ้างที่มีความรู้ความชำนาญทำงานได้ และทำงานเป็นเขาเรียกว่า ทรัพยากร
ถ้าเรามีลูกจ้างที่ทำงานได้ ทำงานเป็นและไว้วางใจ ให้ช่วยดูแลธุรกิแทนได้เขาเรียกว่า หุ้นส่วน
ถ้าเรามีลูกจ้างที่มีความรู้ความชำนาญทำงานได้ และทำงานเป็นเขาเรียกว่า ทรัพยากร
และถ้าเรามีลูกจ้างที่ช่วยเราคิดวางแผนและช่วยรับผิดชอบงานต้านหนึ่งด้านใดให้เราได้เขาเรียกว่า เพื่อนคู่คิด
“ซึ่งเจ้าของธุรกิจแต่ละคนคงต้อง เลือกเอาว่า จะทำให้คนของตัวเองเป็นลูกจ้างแบบไหน “
ทั้งกลุ่มพยักหน้า และแววตาส่งประกายความเข้าใจอย่างเห็นได้ชัด จึงอธิบายต่อว่า “การทำคนให้เป็นผู้ใหญ่ ในบางแห่งเขาเรียกว่า “การสร้างทายาท” ซึ่งหมายถึงการสร้างผู้สืบทอดธุรกิจทั้งในด้านความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ วิธีการปฏิบัติและความเข้าใจ อย่างแท้จริงในสิ่งที่ทำ ซึ่งสามารถปลูกฝังได้โดยการทำให้ดูอธิบายให้เข้าใจ ปรับปรุงความคิด
เพิ่มเติมความเชื่อ เน้นย้ำประเด็นสำคัญ และชื่นชมในความก้าวหน้า ตลอดจนการรู้จักให้รางวัล
ลองคิดดูสิว่าถ้าเรามีลูกจ้างที่เป็นผู้ใหญ่ตามที่ได้อธิบายมาในระยะ 3-5 ปีของธุรกิจ เราจะสามารถขยายธุรกิจได้อีกมาก เพราะเรามีคนที่เราไว้วางใจได้อยู่ในทุกจุดของธุรกิจของเรา
7. การบังคับบัญชา
ขออนุญาตพูดถึงประการที่เจ็ด คือการบังคับบัญชา เพราะการบังคับบัญชา หมายถึงการควบคุมดูแล การกำกับช่วยเหลือและสอนให้คน สามารถทำงานได้บรรลุเป้าหมายในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์แต่ละเดือน เมื่อมีพนักงานที่ทำงานเป็นและเป็นผู้ใหญ่เพียงพอ เจ้าของธุรกิจก็มักจะมอบหมายให้เป็นผู้ใหญ่ในด้านหนึ่งค้นใดแทน แต่ไม่ได้หมายความว่า เจ้าของธุรกิจจะทอดทิ้งความรับผิดชอบด้านนั้นไป ยังจำเป็นจะต้องทำ หน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ลูกจ้างที่เป็นผู้ใหญ่คนนั้น โดยมอบอำนาจในการดูแลตัดสินใจให้ทีละเรื่องสองเรื่อง
แต่อำนาจการอนุมัติสุดท้ายก็ยังคงต้องเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่ดี เขาเรียกว่า “ลำดับขั้นการบังคับบัญชา” ถึงแม้เราจะมีพนักงนระดับบริหารที่เชื่อ ถือได้ในตำแหน่ง ผู้จัดการหรือผู้อำนวยการหรือผู้จัดการทั่วไปก็ตาม ก็ยังต้องมีระบบการบังคับบัญชาโดยผู้จัดการตังกล่วจะต้องทำแผนการดำเนินธุรกิจประจำปีมาคุยกักับเจ้าของกิจการ เพื่อพิจรณาอนุมัติและเมื่อได้รับอนุมัติแล้ว ผู้จัดการหรืผู้อำนวยการดังกล่าวก็ต้องดำเนินการตามที่ได้รับอนุมัติเท่นั้น จะทำอะไรนอกเหนือจากนั้นดยการคิดเอาเองไม่ได้ทั้งนี้เจ้าของกิจการก็ต้องหมั่นตรวจสอบและทวนสอบการดำเนินงานด้วยว่าเป็นไปตามที่ไต้อนุมัติไปหรือไม่”
8.การบังคับบัญชี
“ประการที่แปด เมื่อได้มีการบังคับบัญชาแล้วก็มาถึงเรื่องใหญ่คือการดูแลผลประกอบการหรือที่เขาเรียกกันว่า “การบังคับบัญชี”
“ถ้าเจ้าของกิจการเป็นผู้บริหารกิจการเองก็ต้องหมั่นตรวจสอบตัวเลข ทั้งด้านรายได้ รายจ่ย กำไร/ขาดทุน คำใช้จ่าย สินค้าคงเหลือ วัสดุคงคลังจำนวนพนักงาน ค่ำใช้จ่ายด้านค่าจ้างและเงินเดือนรวมไปถึงพรัพย์สิน หนี้สิน และความเจริญเติบโตของกิการ ทั้งนี้การติดตามตรวจสอบดังกล่าวที่มักจะดำเนินการกันอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง จะทำให้เจ้าของกิจการได้ทราบว่าผลการปฏิบัติงานของลูกจ้างของตนว่าเป็นอย่างไร การละเลย ไม่ติดตามตรวงสอบหรือไม่เอาใจใส่เท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจ้างคนมาเป็นผู้จัดการแล้วก็คอยฟังเพียงการรายงาน อาจจะทำให้กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเสียแล้ว ฉะนั้นเมื่อตั้งใจลงทุนทำกิจการแล้วก็จำเป็นต้องลงแรงเอาใจใส่ทั้งกิจการและลูกจ้างของตัวเองให้ประสบความสำเร็จด้วย”
9. การตอบแทน
“ประการที่เก้า เมื่อธุรกิประสบความสำเร็จ หรือเมื่อสิ้นปีในแต่ละปีถ้าเจ้าของกิจการปฏิบัติตามกฎหมายส่งเสริมการทำงานเป็นทีม เลือกคนดี ๆ เข้ามาทำงาน เลือกงานมามอบหมายให้เหมาะสมกับความสามารถของคน สอนให้คนทำงานเป็น สอนให้คนเป็นผู้ใหญ่ รู้จักดูแลบังคับบัญชาและหมันติดตามบังคับบัญชี จนธุรกิจประสบความสำเร็จแล้ว หน้าที่ที่สำคัญของเจ้าของกิจการอีกประการหนึ่งก็คือการให้รางวัลเพื่อเป็นการตอบแทนความร่วมมือร่วมใจของลูกจ้าง”
ตอบแทนความผูกพันของลูกค้า
ตอบแทนเพื่อนร่วมค้า และตอบแทนตัวเอง
ทุกคนหัวเราะพร้อม ๆ กัน และพูดพร้อมกันว่า “อยากให้เป็นอย่างนั้นทุก ๆ ปี” จึงยืนยันกลับไปว่า ถูกต้องแล้ว แต่ต้อเงข้าใจให้ได้การให้รางวัลเพื่อขอบคุณดังกล่าว นั้นแบ่งส่วนไม่เท่ากันและต้องตอบแทนจากผลกำไรในการประกอบกิจกรรม ไม่ใช่กิจการขาดทุน แต่ยังให้โบนัสลูกน้อง หรือกิจการทำกำไรได้มากแต่ขี้เหนียวโบนัส จะทำให้ลูกจ้างเกิดอาการงง ๆ ว่า อาเตียอาแปะ ทำอะไรกัน และอาจจะลือกันไปต่าง ๆ นานาอีกด้วย ทั้งนี้ยกเว้นว่าเราเห็นชัด ๆ ว่าลูกจ้างเราขยันทุ่มเท แต่ศรษฐกิจไม่ดีจึงไม่ได้กำไร และเราอยากตอบแทนน้ำใจพวกเขา เราอาจจะให้โบนัสได้บ้าง แต่จำเป็นอธิบายให้ลูกจ้างฟังด้วยว่า ที่เราให้โบนัสทั้ง ๆ ที่ธุรกิจ ไม่ได้กำไรนั้น เพราะเราเห็นความตั้งใจจริงและความทุ่มเทของลูกจ้างจึงขอให้ทุกคนช่วยกันให้มากขึ้นในปีต่อไป”
10. การให้ร้างวัลคนเก่ง
และสุดท้ายจริงๆ เมื่อเราได้ให้รางวัลคนดี ซึ่งช่วยให้เราประสบความสำเร็จแล้ว
ประการที่สิบที่ควรทำก็คือการให้รางวัลคนเก่ง เช่น ถ้าเขาเก่งในการ ทำงานมีความชำนาญมากขึ้น ผลิตผลงานที่มีคุณภาพมากขึ้น ก็ปรับเงินเดือนและค่าจ้างให้เพิ่มขึ้นแต่ถ้าเขาเก่งและดีในการเป็นผู้นำในการ เป็นนักบริหารจัดการ ในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ เราก็ควรปรับตำแหน่งให้สูงขึ้นให้เป็นหัวหน้างาน หัวหน้าแผนกและผู้จัดการตามความเก่งที่ลูกจ้างแสดงให้เราเห็นตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้หากกิจการมีการขยายตัวมากขึ้นระหว่างปี ก็อาจจะมีการปรับตำแหน่งหรือปรับค่าจ้างกลางเพิ่มเติมด้วยก็ได้ แต่ขอแนะนำว่าอย่าปรับค่าจ้างหรือปรับตำแหน่งพร่ำเพรื่อเพราะจะทำให้ความขลังของการให้รางวัลลดลง”
ขอบคุณอย่างจริงใจต่ออาเตี่ยอาแปะห้าหกคนที่มาถามและขอขอบคุณจริง ๆ ที่สนใจรับฟัง หากมีสิ่งใดที่จะตอบโจทย์ในใจของท่านผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางให้ความกระจ่างเสมอ
สรุปแล้ว 10 ข้อที่นักธุรกิจควรรู้สำหรับการทำธุรกิจคือ กฎหมาย กฎหมู่ การเลือกคนเข้าทำงาน การเลือกงานให้คนทำ การสอนคนให้เป็นงาน การสอนคนให้เป็นผู้ใหญ่ การบังคับบัญชา การบังคับบัญชี การให้รางวัลคนดี การให้รางวัลคนเก่ง
ดร.ฐิติวรรณ สินธุ์นอก
คณะทำงานสำนักพิมพ์ 7D BOOK & DIGITAL
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels