หลายๆ คนเติบโตและใช้ชีวิตมากับแนวคิดที่สังคมหล่อหลอมและปลูกฝังใส่หัวกันในแบบเดิมๆ ที่ว่าผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า เป็นผู้นำ ส่วนผู้หญิงจะต้องเป็นช้างเท้าหลัง คอยเดินตามและรับฟังสิ่งที่ผู้ชายพูด นั่นคือขนบธรรมเนียมปฏิบัติแบบเก่ากึ๊ก และชุดความคิดเหล่านี้หรือเปล่าที่ทำให้ได้เกิดภาพจำและเห็นเหตุการณ์หลายครั้งที่ผู้หญิงเป็นคนอ่อนแอ เป็นฝ่ายถูกกระทำ กดขี่ สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายยอมไปตลอด
แต่กาลเวลาผ่านไป สังคมก็ขยับเปลี่ยนไปตามความเป็นไปของมันด้วย แนวคิด ธรรมเนียมปฏิบัติแบบเดิมๆ ถึงแม้จะยังไม่ได้หายไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหลายครั้งหลายหนในทุกวันนี้ที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มต้นลุกฮือขึ้นก่อน นั่นไม่ใช่เพราะต้องการจะเป็นใหญ่หรือเป็นผู้นำแต่อย่างใด แต่พวกเขาเพียงแค่ต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ไม่มีใครใหญ่ไปกว่ากันเพราะทุกคนคือมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น
จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้มีสตรีเพศหลายต่อหลายคนที่ลุกขึ้นต่อต้าน สร้างสรรค์แรงบันดาลใจให้กับตัวเองและกับสังคม เพื่อเรียกร้องขอใช้สิทธิ์ในความเป็นคนอยู่บนโลกอย่างเท่ากันกับเพศชายบ้าง
“ผู้หญิงไม่ได้อ่อนแอทุกคนและเสมอไปหรอกนะ”
ที่สำเร็จเกินเป้าไปแล้วก็มีมากมาย แต่บางอย่างก็ยังคงต้องต่อสู้กันไปเรื่อยๆ แบบไม่จบก็มีไม่น้อย แต่ก็ไม่น่าแปลกถ้าจะเห็นการเชิดชูเกียรติให้กับผู้หญิงเพราะก็ต้องยอมรับด้วยว่าความสำเร็จบางอย่างมันเกิดขึ้นได้จากแนวคิดของคนที่เป็นผู้หญิง ที่ก่อนหน้านั้นอาจถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับความสนใจมาก่อน
สำหรับคนที่ลุกขึ้นต่อต้านและต้องการร้องเรียนหาความชอบธรรมให้กับผู้หญิง มีไม่น้อยคนเลยที่เริ่มต้นทำมันได้เพราะมาจากเหตุการณ์ต้องเจอมากับตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ผลจากการหาความยุติธรรมให้ตัวเองมันเทคแอคชันกับผู้คนจำนวนมากจนเกิดเป็นกระบวนการหาความยุติธรรมให้เพื่อนมนุษย์(เพศหญิง)ด้วยกันทั้งสิ้น
เหตุการณ์ในการร้องเรียนที่สามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายวิธีและมีให้เห็นบ่อยๆ ถ้าเป็นการลงพื้นที่ก็อย่างการชุมนุมประท้วง จัดขบวนพาเหรด หรือแม้แต่บนโลกออนไลน์ก็มีพื้นที่ให้ทุกคนได้ใช้สิทธิ์ในการมีส่วนร่วมเพื่อความยุติธรรมต่างๆ อย่างการลงชื่อ ทำแบบสอบถาม หรือสนับสนุนกิจกรรมของผู้เริ่มต้นแนวคิดในการเรียกร้องสิทธิ์นั้นๆ
เหมือนอย่างปัจจุบันที่มีผู้คนมากมายให้ความสนใจและให้การสนับสนุน “Whitney Wolfe Herd” ด้วยการมีส่วนร่วมเป็นผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน Bumble ที่ก่อตั้งขึ้นมาจากแนวคิดต้องการรณรงค์ให้สิทธิ์กับผู้หญิง แต่กว่าจะมีวันนี้ วิทนีย์ก็ผ่านเรื่องราวและเจอประสบการณ์แย่ๆ จากความเป็นผู้หญิงของเธอจนก่อเกิดเป็นแคมเปญดังกล่าว
วิทนีย์เรียนจบจาก Southern Methodist University เมื่ออายุเพียง 20 ปีเธอก็เริ่มมีความคิดและอยากทำงานเพื่อสังคมแล้ว หลังเกิดเหตุการณ์เกี่ยวกับการรั่วไหลของน้ำมันจนสร้างผลกระทบให้กับผู้คนจำนวนมาก เธอก็ไม่รีรอที่จะเข้าช่วยเหลือ โดยวิทนีย์ได้ร่วมมือกับสไตล์ลิสต์ชื่อดัง Pattick Aufdenkamp เพื่อออกแบบกระเป๋าขายภายใต้แคมเปญ Help Us Project ที่ไม่ได้แสวงหาผลกำไรแต่อย่างใด
ก่อนจะมาร่วมทำงานให้กับ Hatch Labs บริษัทเกี่ยวกับสตาร์ทอัพ ใน 2 ปีถัดมา และเริ่มต้นทำงานในทีมพัฒนาแอปพลิเคชันพร้อมกับเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Tinder ในปี 2555 นอกจากวิทนีย์จะเป็นผู้ร่วมก่อตั้งแล้ว ในปีนั้นยังดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายการตลาด ทำงานเป็นมันสมองอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแอปฯดังกล่าว และในขณะนั้นเดียวกันวิทนีย์ก็ยังเดทกับ Justin Mateen หนึ่งในผู้ก่อตั้งและประธานฝ่ายเจ้าหน้าที่การตลาดของ Tinder ด้วยนั่นเอง
และจากการคบหากับจัสตินนี่แหละคือชนวนเหตุของการก่อตั้งแอปฯ Bumble ของวิทนีย์เพราะเธอถูกอดีตแฟนหนุ่มคนนี้ถูกคุกคามทางเพศด้วยคำพูดอย่างรุนแรง พร้อมกับได้รับข้อความในแง่ดูถูกและข่มขู่ และก่อนหน้านั้นในช่วงวัยมัธยมเธอยังเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศจากอดีตแฟนหนุ่มที่เคยคบหากันขณะนั้นด้วย
รอยแผลเก่าในจิตใจยังไม่หาย ซ้ำยังเจอบาดแผลใหม่เข้ามาอีก ทำให้เธออยู่นิ่งเฉยไม่ได้ จนต้องทำเรื่องร้องเรียนและใช้กฎหมายเข้ามาช่วยเยียวยา จนท้ายที่สุดจัสตินก็ถูกพักงานและออกจากบริษัทไป แต่เรื่องยังไม่จบเพียงแค่นั้น รอยแผลของวิทนีย์ถูกกระทบซ้ำลงไปเมื่อทางบริษัทเรียกเธอเข้าไปตำหนิถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะคิดว่าส่วนหนึ่งของความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นมาจากตัวเธอเองและขอให้ยุติเรื่องราวทั้งหมดอย่างเงียบๆ วิทนีย์รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมทั้งๆ ที่เธอเป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด
กระแสข่าวแง่ลบมากมายถาโถมใส่เธออย่างไม่หยุดยั้งถึงขั้นถูกขู่ฆ่าก็มี จนเธอต้องระเห็จระหนไปอยู่ต่างเมืองและได้พบกับ Michael Herd (สามีปัจจุบันของเธอ) ในระหว่างนั้นเธอก็เกิดไอเดียจากแอปฯ Merci ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้หญิงเป็นหลัก
หลังจากนั้นไม่นานวิทนีย์ก็ได้รับอีเมล์จากบริษัทแอปฯเดตที่ต้องการตัวเธอไปร่วมงานด้วย แต่วิทนีย์ที่รู้สึกเจ็บช้ำจากเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มาจนเกิดเป็นปมในใจที่เลยไม่ต้องการและปฏิเสธการร่วมงานไปเสียง่ายๆ ก่อนจะเกิดประกายไฟลุกโชน และมีแนวคิดจนเกิดเป็น Bumble ขึ้นมา
ถ้าจะพูดง่ายๆ เลยก็คืออันที่จริง Bumble ก็ไม่ต่างอะไรกับ Tinder เลย แต่สิ่งพิเศษที่สำคัญที่วิทนีย์สื่อผ่านตัวแอปฯ มันทำให้หลายคนได้เห็นมุมมองและแนวคิดที่ดีมากๆ ของเธอ
แรกเริ่มการก่อตั้งเธอมีแนวคิดที่ว่าต้องการให้สังคมเป็นไปตามอุดมคติที่เธอตั้งไว้หลังจากที่เธอผ่านเรื่องแย่ๆ มาเยอะ คือการให้สิทธิ์แก่ผู้หญิงให้มีความเท่าเทียม สามารถเป็นฝ่ายเลือกและได้ตัดสินใจในการทำเรื่องใหม่ๆ ในหลายๆ แง่มุม และก่อเกิดแอปฯ Bumble ขึ้นมา เพื่อให้ผู้หญิงได้เป็นฝ่ายปัดซ้ายขวาเพื่อเลือกหาเพื่อนที่ใช่หรือถูกใจ แล้วไปทำกิจกรรมที่ต้องการด้วยกัน
“ผู้หญิงก็สามารถเป็นฝ่ายเลือกและจีบผู้ชายก่อนได้”
และเพราะกระแสข่าวเกี่ยวกับเรื่องการคุกคามทางเพศที่เธอเจอมากับตัวเองโดยตรงจากอดีตแฟนนั่นเองทำให้เกิดที่ต้องการให้ความสำคัญกับผู้หญิงด้วยกันอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ในบริษัทภายใต้การดูแลของเธอมีพนักงานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง รวมไปถึงทีมผู้บริหารที่ล้วนเป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งสิ้น
ปัจจุบันวิทนีย์อายุ 32 ปีแล้ว และก็ยังถูกจัดให้อยู่ในอันดับของเศรษฐีนีที่อายุน้อยที่สุดของสหรัฐอเมริกาด้วย
จากเหตการณ์การถูกคุกคามในวันนั้นทำให้เธอผลักดันแนวคิดและอุดมคติที่มีไปได้อย่างสวยงาม จุดประกายและให้ความสำคัญกับผู้หญิงด้วยกันผ่านการใช้งานแอปฯ Bumble ที่นอกจากจะทำให้ผู้หญิงได้เป็นฝ่ายเลือกเองแล้ว ผู้ใช้งานก็จะต้องได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองแบบไม่ต้องกลัวเกรงใคร และที่สำคัญคือต้องรู้สึกปลอดภัยด้วย
อ้างอิง:
- จากเว็บไซต์ mamamia (https://bit.ly/3IB8gkd)
- Blockdit: ลงทุนเกิร์ล (https://bit.ly/3tftHAY)
- จากเว็บไซต์ marketeeronline (https://bit.ly/3K3ivho)
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
เรียบเรียงโดย: ฐานิต
กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ bumble, mamamia และ brandinside