“Workforce Diversity” ทำไมความหลากหลายในองค์กรจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
ถ้าพูดถึงกระแสที่มาแรงที่สุดในยุคนี้คงจะหนีไม่พ้นเรื่อง “ความหลากหลาย”
หากพูดถึงความหลากหลาย (Diversity) ในปัจจุบันนี้ไม่ได้จำกัดแค่เพศชายหรือเพศหญิงแล้วเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเปิดกว้างและการยอมรับเพศที่แตกต่าง โดยเฉพาะกลุ่ม LGBTQ ตั้งแต่ในระดับสังคมขนาดเล็ก เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อนฝูง สถานที่ทำงาน ไปจนถึงระดับที่ใหญ่และกว้างกว่านั้น เช่น ในสังคมทั่วไป
การเปิดรับเพศทางเลือกอื่น ๆ เข้ามาทำงานในองค์กรนั้น (Workforce Diversity) ไม่ใช่เรื่องใหม่ในยุคนี้ เพราะมีการยอมรับพนักงานเพศต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ บางบริษัทแทบจะไม่ต้องการให้มีการระบุเพศลงในใบสมัครงานหรือในเรซูเม่ หรือบางบริษัทได้ระบุให้มีการเปิดรับพนักงานที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา “สองมาตรฐาน” “การกีดกันเชื้อชาติ” หรือ “การเหยียดเชื้อชาติ” เช่น บริษัท Google, IKEA, Microsoft, Slack, Apple
จึงจะเห็นได้ว่าเพศทางเลือกได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้นในตลาดแรงงาน เพราะปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่มักมีแนวคิดที่ว่า ความสามารถในการทำงานและเพศเป็นสิ่งที่แยกออกจากกัน เพศทางเลือกก็ทำงานได้ดีเท่าเทียมกับเพศอื่น ๆ บางครั้งอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะบางองค์กรหรือบางอุตสาหกรรมที่มีการใช้พนักงานที่เป็นเพศทางเลือกให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กรหรือบริษัทของตนเองมากขึ้น เช่น อุตสาหกรรมแฟชั่น หรือบริษัทผลิตสินค้าต่าง ๆ ที่เริ่มเปิดตลาดใหม่ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเพศทางเลือกโดยเฉพาะ เป็นต้น ซึ่งการรับพนักงานที่มีความหลากหลายเช่นนี้ ทำให้องค์กรหรือบริษัทสามารถทำการตลาดได้ดียิ่งขึ้น เพราะพวกเขาเหล่านี้มักจะเข้าใจตลาดหรือกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเพศเดียวกับตนเอง ทั้งยังทำให้องค์กรหรือบริษัทได้มีมุมมองหรือทัศนคติที่เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับธุรกิจและมีโอกาสเอาชนะคู่แข่งได้มากขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ ความหลากหลายในองค์กรไม่ได้จำกัดแค่เพียง “เพศ” เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหลากหลายในด้านอื่น ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น
ความหลากหลายทางตำแหน่งงาน (Position Diversity)
บางองค์กรหรือบางบริษัทมีการแบ่งตำแหน่งงานแยกย่อยหลายตำแหน่ง แน่นอนว่ามันช่วยให้เกิดความหลากหลายในการทำงาน รวมทั้งเกิดการแข่งขันกันทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานขององค์หรือบริษัทดีขึ้น ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้พนักงานเกิดความคิดเห็นที่หลากหลายซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรหรือบริษัท
แต่การมีตำแหน่งที่หลากหลายในองค์กรหรือบริษัทนำมาซึ่งการจัดการที่ยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม หรืออาจเกิดความขัดแย้งได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าหลาย ๆ องค์กร หลาย ๆ บริษัทในปัจจุบันเริ่มมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้มีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับกระแส “ความหลากหลาย” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในปัจจุบันต้องตระหนักถึง
ความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม (Race & Culture Diversity)
ในยุคที่ไร้พรมแดนเช่นนี้ การทำธุรกิจระหว่างประเทศเป็นเรื่องธรรมดาและทำได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงทำให้มีคนหลายเชื้อชาติหลายวัฒนธรรมต้องติดต่อสื่อสารกัน หรืออาจจะได้มาทำงานร่วมกัน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับองค์กรหรือบริษัท
การทำงานกับคนหลายเชื้อชาติ หลากวัฒนธรรมจะทำให้ได้แชร์ความคิดเห็นที่หลากหลาย มุมมองหลายรูปแบบ หรือประสบการณ์ที่มากมายที่แต่ละคนแต่ละวัฒนธรรมได้เผชิญหรือพบเห็นมา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือทำการตลาด นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างจากตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ ๆ ให้กับตัวเองได้อีกด้วย
ความหลากหลายทางอายุ (Age Diversity)
ใครว่าอายุเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น
อายุเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์การทำงานของคนเรา อายุที่แตกต่างกันมีคุณสมบัติที่ดีต่อการทำงานที่แตกต่างกันด้วย เช่น คน Gen Y มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีสูง ก็อาจใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อให้งานสำเร็จ ส่วนคน Baby-Boomer เป็นกลุ่มคนที่มีความอดทน คิดการณ์ไกล มีมุมมองที่รอบด้านและรอบคอบกว่า ก็อาจจะนำคุณสมบัติเหล่านี้มาช่วยในเรื่องการวางแผนธุรกิจหรือวางแผนการทำงานให้กับองค์กรหรือบริษัท เป็นต้น
ถ้าคนต่างวัยมาทำงานร่วมกันได้อย่างกลมกลืน นำข้อดีของแต่ละวัยมาใช้ องค์กรหรือบริษัทนั้นก็จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
ความหลากหลายทางสถาบัน (Institute Diversity)
บางองค์กรหรือบริษัทอาจเลือกพนักงานที่มาจากสถาบันเดียวกันเพื่อให้มีความเป็นเอกภาพและมีความสามัคคีกัน รวมทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายให้กับองค์กรหรือบริษัทอีกด้วย
แต่ปัจจุบัน ไม่ว่าจะมาจากรั้วสีชมพู รั้วเหลืองแดง ลูกพ่อขุน มอเอกชน ฯลฯ ก็มีสิทธิได้เข้าทำงานได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น การมีบุคลกรที่มาจากหลากหลายสถาบันย่อมทำให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้กันในองค์กรหรือบริษัท ซึ่งจะทำให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรหรือบริษัทมากขึ้น
ความหลากหลายทางความสามารถและทักษะวิชาชีพ (Skills Diversity)
องค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่มักจะมีแผนกหรือตำแหน่งหน้าที่ที่หลากหลายแยกย่อยออกไปมากมาย ดังนั้น การมีพนักงานหรือบุคลากรที่มีความสามารถและมีทักษะที่หลากหลาย จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรหรือบริษัทให้เติบโตและก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ความหลากหลายทางความสนใจ (Interest Diversity)
ทุกคนมีความชอบเป็นของตัวเอง และบางครั้งความชอบส่วนตัวก็อาจไปพ้องต้องกันกับคนอื่น ๆ ในองค์หรือบริษัทก็ได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการรวมกลุ่มกันเพื่อแลกเปลี่ยนหรือทำสิ่งที่ตนเองสนใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็นับว่ามีประโยชน์ต่อองค์กรหรือบริษัทเช่นกัน เพราะการที่คนชอบอะไรเหมือน ๆ กันมารวมกลุ่มกันจะมีความสนิทสนมกัน จะคอยช่วยเหลือกัน และมีวิธีแก้ปัญหาที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น เมื่อองค์กรหรือบริษัทมีความหลากหลายมากเท่าไร ย่อมต้องมีการจัดการให้เหมาะสมมากขึ้นเท่านั้น เพื่อให้บุคลากรทั้งหลายมีความสุขและองค์กรหรือบริษัทก็ได้ประโยชน์ด้วย หลักการบริหารองค์กรหรือบริษัทที่มีความแตกต่างหรือความหลากหลายประกอบไปด้วย
• ให้ความเท่าเทียมกันอย่างยุติธรรม
• ให้โอกาสที่เหมาะสมกับความสามารถ
• รับฟังและเคารพความคิดเห็นของทุกคน
• เปิดกว้างสำหรับตำแหน่งและทักษะในการทำงาน
• ไม่พยายามสร้างกลุ่มหรือหมู่ในองค์กรแบบเป็นทางการ เพื่อให้เกิดการแบ่งแยกกัน
• ไม่สื่อสารกับคนเฉพาะกลุ่มจนเกินไป
• เสริมสร้างความสามัคคีระหว่างกัน
• ใช้ความแตกต่างให้เกิดประโยชน์
ปัจจุบันความแตกต่างและความหลากหลายเป็นสิ่งที่เราควรตระหนักรู้ ไม่ว่าจะเพศใด เชื้อชาติใด พูดภาษาอะไร อายุเท่าไร ชอบอะไร จบจากที่ไหน ฯลฯ แต่ถ้าองค์กรหรือบริษัทสามารถบริหารความแตกต่างและความหลากหลายนั้นได้อย่างดี พนักงานเคารพซึ่งกันและกัน ยอมรับความแตกต่างของกันและกัน พร้อมที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมของอีกฝ่าย ฯลฯ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรหรือบริษัท ซึ่งมันจะช่วยส่งเสริมให้องค์กรหรือบริษัทเติบโตและก้าวหน้าไปพร้อมกับเทรนด์โลกอย่าง “ความหลากหลาย” ได้ลงตัว
อ้างอิง: https://th.hrnote.asia/personnel-management/190820-workforce-diversity/
https://www.shell.co.th/th_th/careers/diversity-inclusion/lgbt-talent-at-shell.html