ทุกคนมักถูกพร่ำสอนเสมอให้รู้จักยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้ายก็ตามที แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้อย่างที่ต้องการ แม้แต่คนที่สอนคนอื่นเอง บางครั้งยังทำไม่ได้เลย แล้วจะมาคาดหวังให้ทุกคนต้องเป็นไปอย่างที่ใครกำหนด ยิ่งไม่มีทางเกิดขึ้นเข้าไปใหญ่
หลายครั้งเราพบว่าผู้คนมักจะมองหาวิธีในการทำอย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะหยุดหรือรับมือกับความล้มเหลวที่เข้ามาในชีวิตได้ แต่หารู้ไม่ว่าแท้จริงเราไม่จำเป็นต้องหาวิธีรับมือให้ยุ่งยาก เพียงแค่มีเคล็ดลับสำคัญง่าย ๆ ก็เพียงพอต่อการจะผ่านความรู้สึกห่วย ๆ แบบนี้ได้เหมือนกัน
เพียงแค่รู้ว่าความล้มเหลวในแต่ละรูปแบบมันทำงานอย่างไรและส่งผลแบบไหนต่อตัวเรา ก็จะทำให้เข้าใจมากขึ้น ส่วนวิธีการแก้ไขก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แค่ต้องรู้จักก่อนว่าความล้มเหลวที่หลายคนกลัวนักหนามีหน้าตาเป็นแบบไหน
โดยที่เจ้าความล้มเหลว ชื่ออาจจะไม่ค่อยน่าคบหาสักเท่าไหร่ เพราะชวนให้นึกไปถึงแต่สิ่งที่ไม่ดีและไม่น่าจะเป็นที่ต้องการในชีวิตสักเท่าไหร่ แต่ใครจะรู้ว่าความล้มเหลวนี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเคยประสบความสำเร็จมานับร้อยครั้งหรือยังไม่เคยสักครั้งก็ต่างพบเจอได้ทั้งสิ้น
เริ่มกันที่ความล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต นี่คือการสูญเสียในชนิดที่อาจจะเรียกได้ว่าร้ายแรงที่สุด และที่สำคัญคือมันจะต้องเกิดขึ้นกับทุกคนในช่วงชีวิตหนึ่งแน่นอน โดยที่ความล้มเหลวประเภทนี้ถูกจัดอยู่ในเรื่องราวที่จะพาให้รู้สึกถึงความสูญเสียหรือการผิดพลาดในเรื่องสำคัญในชีวิต
หลายคนเรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิต โดยเหตุการณ์ประเภทนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วแน่นอนว่ามันจะส่งผลทำให้ชีวิตของคุณคนนั้นต่อจากนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
อย่างเช่น นักลงทุน ที่ลงทุนผิดพลาดจนชีวิตเปลี่ยน สูญเสียกำไร ขาดทุนย่อยยับ และสุดท้ายเส้นทางชีวิตต้องเปลี่ยนไปตลอดกาลเพราะผลของการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเอง
ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาของความล้มเหลวรูปแบบนี้ มักจะเป็นผลที่เข้มข้น แบบจนก็จนสุดไปเลย ทุกข์ก็ทุกข์ในชนิดที่ร้ายแรง ส่งผลหนักอึ้งมากที่สุดเกินจะคาดเดา และหลายคนมักจะพ่ายแพ้ต่อความล้มเหลวในลักษณะนี้เอาเสียเยอะ และแม้มันจะดูโหดร้ายไปเสียหน่อย แต่นี่ก็คือหนึ่งสิ่งที่ทุกคนต้องเจอในชีวิตอย่างหลีกหนีไม่ได้
ประเภทที่สอง คือความล้มเหลวอย่างผู้ชนะ กลุ่มนี้จะให้ความรู้สึกต่างจากแบบแรกอย่างสิ้นเชิง เพราะถึงชื่อจะเป็นความล้มเหลวแต่มันก็แฝงไปด้วยความสำเร็จเล็ก ๆ บางอย่างซ่อนอยู่ในนั้นเหมือนกัน และถึงแม้ว่าเราจะถูกปลูกฝังว่าความผิดหวังคือเรื่องน่ารังเกียจ หรือเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่ในบางเวลามันก็อาจะเป็นเรื่องชื่นชมและให้กำลังใจได้อยู่เหมือนกัน
อย่างเช่น นักกีฬา ทุกคนรู้ดีว่าสิ่งสำคัญในการนำชัยชนะมาครองได้คือการซ้อมอย่างเต็มที่ แน่นอนว่าผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะต้องมุ่งมั่นฝึกซ้อมกันอย่างสุดกำลัง แต่ด้วยเงื่อนไขที่ว่าผู้ชนะมีได้เพียงหนึ่งเดียว จึงทำให้ต้องมีคนสมหวังและผิดหวังไปพร้อมกัน
บางคนซ้อมเต็มที่ แข่งขันเต็มที่ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ก็คือความพ่ายแพ้อยู่ดี แต่นั่นเป็นเพียงผลในเกมกีฬา เพราะสุดท้ายถึงจะต้องอกหักแพ้มา แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเสียดายเลยถ้าได้ลองทำเต็มที่แล้ว มันจึงถูกเรียกว่าเป็น ‘ความล้มเหลวที่ไม่ต้องรู้สึกแย่’
ซึ่งความรู้สึกนี้สามารถพบเจอได้เสมอไม่จำเป็นต้องเรื่องกีฬาเสมอไป เพราะถ้าเราตั้งใจทำอะไรแล้วก็ตาม ต่อให้ผลสุดท้ายสิ่งที่ออกมาจะไม่เป็นตามที่เราคาดฝันไว้ในตอนแรก ก็จงจำไว้ว่านี่คือหนึ่งในความล้มเหลว แต่มันคือ ความล้มเหลวอย่างผู้ชนะ
มาถึงความล้มเหลวในแบบที่สาม สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่นอกจากทุกคนจะต้องเจอแล้ว มันยังเป็นความล้มเหลวที่อยู่ในชีวิตประจำวันจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว จนบางทีเราอาจหลงลืมไปแล้วว่าสิ่งนี้หรือที่เรียกว่าความล้มเหลว
คือการลืมทำอะไรก็ตามในเรื่องเล็กน้อย อย่างเช่น เปิดไฟทิ้งไว้ เปิดน้ำทิ้งไว้ หรือแม้แต่ลืมให้อาหารสัตว์เลี้ยงผู้น่ารักก็ล้วนแล้วแต่เป็นความล้มเหลวทั้งสิ้น แต่พอผลกระทบมันไม่ได้ขยายออกไปสู่วงกว้าง และอยู่ในขอบเขตที่พอรับได้ ย่อมทำให้ใครหลายคนลืมไปว่านี่คือจุดผิดพลาด
ข้อดีของความล้มเหลวประเภทนี้คือไม่ค่อยจะใช่เรื่องใหญ่เท่าไหร่ แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องเจอในชีวิตประจำวันได้ทุกเวลา และจะมาในเวลาที่ไม่ได้ตั้งตัว ซึ่งถ้าหากเจอบ่อย ๆ ก็คงจะทำให้ปวดหัวได้ไม่มากก็น้อยอยู่เหมือนกัน
ส่วนสุดท้ายคือความล้มเหลวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว ฟังดูอาจเหนือธรรมชาติ หรือกำลังหมายถึงพลังพิเศษอะไรบางอย่าง แต่เปล่าเลย มันเกิดจากการคาดการณ์จากประสบการณ์ของคนที่เคยพบเจอมาก่อนเท่านั้นเอง เป็นความล้มเหลวที่คิดว่าต้องพบแน่ ๆ หากทำแบบนนี้ลงไป
อย่างเช่น คนทำธุรกิจ ก่อนที่จะสร้างผลิตภัณฑ์อะไรขึ้นมาเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะประสบความสำเร็จในทันที แต่ระหว่างทางจะต้องเจออุปสรรคต่าง ๆ ที่คอยมากวนใจเสมอ ฉะนั้นเจ้าความล้มเหลวแบบนี้ ก็จะคอยสร้างความรอบคอบมากขึ้น ให้เราตรวจสอบให้ดีก่อนลงมือทำ
และจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันบางอย่างขึ้นมาให้ดีขึ้น เพราะถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี แต่หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ก็จะมีหนึ่งคำที่ผุดขึ้นมาในใจว่า ‘คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้’ ก็จะทำให้เราไม่รู้สึกผิดหวังจนมากเกินไปเพราะได้เผื่อใจไว้ก่อนบ้างอยู่แล้ว
ทั้งหมดที่ว่ามานี้คือความล้มเหลวในรูปแบบต่าง ๆ จะเห็นว่าถ้ามองที่ภาพรวมใหญ่จะเข้าใจว่าความล้มเหลวคือสิ่งที่ร้ายแรงและดูจะอันตรายต่อชีวิตอย่างยิ่ง
แต่เมื่อได้ลองมาทำความรู้จักให้ดีขึ้น ก็จะมองเห็นมุมในแง่ดีขึ้นมาบ้าง และสุดท้ายจะเข้าใจว่าความล้มเหลวที่เคยเข้าใจว่าต้องวิ่งหนีไปให้ไกล บางทีการวิ่งเข้าหาบ้างก็อาจจะให้ความรู้สึกใหม่ ๆ ในชีวิตได้เหมือนกัน
และอย่างที่สำคัญที่สุดอยากให้ทุกคนเข้าใจใหม่ เพราะคิดว่าน่าจะมีคนเข้าใจผิดกันอยู่พอสมควร คือทุกคนมักไปกลัวว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อจากนี้จะล้มเหลว ทำให้ไม่กล้าลุกขึ้นมาทำอะไรเสียที อยากบอกว่าความจริงแล้ว ความล้มเหลว ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวที่สุด แต่การรับมือกับความล้มเหลวไม่ได้ต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
จนกว่าเราจะพบกันใหม่..
…
เรียบเรียงโดย: กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels