
ภาพโดย Xilent Emn จาก Pexels
เชื่อว่าทุกคนต้องเคยเจอกับสถานการณ์ที่เรียกว่า Toxic People หรือคนเป็นพิษ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าคนนั้นเป็นโรคร้ายแรงจนน่ากลัว แต่หมายถึงคนที่ไม่สามารถลงรอยกับเราได้ ด้วยทัศนคติ อารมณ์ ความคิด และอีกมากมาย หรือจะเรียกว่า ไม่ถูกชะตา ก็คงได้
หลายครั้งที่ชีวิตเราต้องเจอกับอะไรแบบนี้ไม่เว้นวัน ว่ากันว่าสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตไม่ใช่การทำงาน แต่เป็นการอยู่ร่วมกับผู้คนต่างหาก ทุกความสัมพันธ์จะพัฒนาต่อได้ขึ้นอยู่กับ First Impression หรือความประทับใจแรก บางทีแค่เจอหน้าเซ้นส์ของเราจะตอบได้แล้วว่าควรจะคุยกับคู่สนทนาคนนี้ต่อไหม
ทุกครั้งที่เราเจอคนที่คิดแย่ ๆ กับเรา มันจะมีพลังงานบางอย่าง ส่งเป็นสารออกมาให้ได้รับรู้ ทางสายตาก็ดี หรือท่าทางการกระทำ แต่ความจริงเราจะทึกทักเอาเองไม่ได้ว่าสิ่งนั้นกำลังหมายถึงเรา บางครั้งคนส่วนใหญ่ก็อาจเข้าใจผิดไปเอง และส่งผลให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่ลงไปอีก
ทีนี้การจะเช็คว่าใครคิดดีหรือคิดร้ายกับเราว่าตามตรงมันยากเหมือนกัน ยิ่งในยุควิบัติแบบนี้ ผู้คนต่างสวมหน้ากากหันหน้าใส่กัน (หมายถึงหน้ากากอนามัยนะ) การมองเห็นแค่เพียงสายตา ไม่อาจตัดสินได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ บางคนตาดุมาก แต่อาจกำลังยิ้มอยู่ หรือบางคนดวงตาราวกับเฟรนด์ลี่ แต่ภายใต้หน้ากากอาจกำลังทำหน้านิ่ง พร้อมเชือดเฉือนตลอดเวลาก็ได้
มีตำราสักแห่งหนึ่งบอกไว้ว่า อยากรู้จักใคร ให้ลองพูดคุย ไม่ว่าเราจะอยากสานต่อความสัมพันธ์ในรูปแบบใด การเปิดใจกับคู่สนทนาจะให้เรารู้จักตัวตนมากขึ้น แต่ละคำถามก็เป็นสิ่งสำคัญว่าเราจะคว้านลงไปในใจคนนั้นได้ลึกขนาดไหน
ถ้าเลือกคำถามดี มีชัยไปกว่าครึ่ง นอกจากจะถูกใจผู้ตอบ เรายังจะได้คำตอบที่ดีตามมาด้วย ผมเชื่อเสมอว่า ถ้าเราอยากได้อะไรดี ๆ จากใครให้ลองเป็นผู้ให้คนอื่นก่อน
แต่ถ้าเริ่มคุยแล้วเอะใจบางอย่าง รู้สึกว่าคนนี้เริ่มแปลก ๆ ให้มาลองสังเกตวิธีพูดการคิดของคนที่มีแนวโน้มจะเป็น Toxic People ในชีวิตของคุณกัน
- มองโลกในแง่ร้ายตลอดเวลา
เมื่อเริ่มต้นประโยค ปกติแล้วสิ่งที่ควรทำคือพูดให้เป็นกลางที่สุด เพราะเรายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดแบบเดียวกันกับเราไหม อารมณ์ประมาณว่า บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น รู้จักถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเริ่มรู้สึกว่า ทำไมคนนี้พูดแต่เรื่องร้าย ๆ ดูหวาดระแวง วิตกกังวลไปเสียทุกอย่าง หรือยิ่งถ้าอ้างอิงบุคคลที่สามแล้วพูดในเชิงลบบ่อยครั้ง ก็คงไม่ค่อยน่าประทับใจนัก ให้เกิดข้อสงสัยตั้งแต่วินาทีนั้นได้เลย
- ไม่พยายามเข้าใจผู้อื่น ชอบตัดสินคนเสมอ
ถ้าการที่อีกฝ่ายเริ่มพูดในเรื่องร้ายมันอาจยังชัดไม่พอ เพราะทุกคนก็ควรมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นได้ ให้ลองสังเกตเมื่อคนเหล่านั้นเจอเรื่องไม่พอใจ ลองสังเกตว่าเขาจัดการกับปัญหานั้นด้วยวิธีใด ถ้ายังยืนหยัดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ และไม่รับฟังคนอื่น ก็คงเริ่มจะไม่ค่อยน่าอยู่ด้วย
สิ่งสำคัญในการทำอะไรก็ตาม คือการเข้าใจผู้อื่น ทักษะสำคัญที่เราคิดว่ามันจำเป็นต่อทุกคน ทุกเพศ และทุกวัย ลองคิดดูว่าหากใครสักคนในกลุ่มสนทนามีความเชื่อที่ว่าไม่คิดจะฟังใคร แล้วคิดว่าการประชุมนี้จะจบอย่างสันติจริงหรือ?
ใช่แล้ว มันไม่มีทาง!
- มีนิสัยชอบกดคนอื่นให้ต่ำกว่าตัวเองเสมอ
จริงอยู่ว่าทุกงานหรือทุกองค์กรมีความกดดันทั้งนั้น แต่ลักษณะของการกดดันต่อให้เด็กมัธยมยังรู้เลยว่าแบบไหนคือกดดันเพื่อให้งานออกมาดี หรือแบบกดดันเพื่อให้คุณค่าลดน้อยลง คนแบบนี้ถือว่าเข้าข่ายเป็นภัยแก่สังคม พวกเขามักจะตั้งความหวังให้สูง คิดว่าคนอื่นต้องทำได้ทุกอย่าง เพื่อขอความช่วยเหลือในอนาคต แต่หากใครดูจะไม่เป็นประโยชน์ก็จะทำทุกทางเพื่อบั่นทอนจิตใจ พูดแรง ๆ ใส่เพื่อให้คนฟังเกิดความหมดกำลังใจ จนถอดใจไปเอง และเป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดมันถูกต้อง

ภาพโดย Athena จาก Pexels
ถ้าเจอเหล่าคนแบบนี้บ่อย ๆ หลายคนจะแนะนำให้ถอยออกห่างโดยด่วน เพราะจะบั่นทอนกำลังใจ แต่สำหรับเรา เราเชียร์ให้สู้กับคนแบบนี้ไปเลยนะ แต่เดี๋ยวก่อน การสู้ไม่ได้หมายถึงให้เดินลากไปตบที่ห้องน้ำ หรือทำการกระทำห่วย ๆ แบบเดียวกันกับที่คนแบบนั้นชอบทำ
ทางที่ดีเราควรสู้โดยใช้ จิตวิทยา คือการสู้กลับแบบนางเอก กล่าวคือ ใช้ความดีเข้าสู้ ยิ่งเขาทำเราแย่ขนาดไหนยิ่งต้องทำดีตอบ ชนิดที่แบบให้งงกันไปข้างหนึ่ง
อย่างเช่น ถ้าคนแบบนั้นกำลังพูดถึงคนอื่นในทางเสียหายอยู่ ให้เราตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลประมาณว่า “แบบพี่นี่ก็ดีนะ ไม่ค่อยคิดร้ายกับใคร ถึงว่าใคร ๆ ก็อยากร่วมงานด้วย” ทั้งที่ความจริงคือเขากำลังทำตรงกันข้ามกับที่เราว่าไปทั้งสิ้น แต่ถูกต้องแล้ว และจะยิ่งดีต้องทำบ่อย ๆ เข้า เมื่อเขากำลังจะนินทาใครก็ให้ชื่นชมในทางตรงกันข้ามกับที่เขาทำ เชื่อเลยว่าต้องมีสับสนกันบ้างแหละ
เมื่อเราชมบ่อย ๆ คนแบบนี้มักจะชอบในการเยินยอ วันหนึ่งเขาก็อาจจะคิดได้ว่า เราเป็นแบบที่น้องคนนั้นบอกจริง ๆ เหรอเนี่ย เหมือนเป็นการเตือนทางอ้อม แต่ถ้าเขาคิดได้ก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเองซึ่งก็คงแจ๋วเหมือนกัน
ต้องบอกก่อนว่าวิธีการนี้เหมาะกับคนใจเย็นอย่างยิ่ง เพราะเหล่าวัยรุ่นใจร้อนคงไม่รอให้เวลามาถึง ความอดทนคือสิ่งที่ต้องพกไปอย่างเต็มที่ เพื่อรับมือกับวิธีต่าง ๆ ได้อย่างไหลลื่นและมืออาชีพมากที่สุด
แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายวิธีการนี้ใช้ไม่ได้กับทุกคน อาจจะใช้ได้กับแค่คนที่เข้าข่ายจะเป็น Toxic People อย่าลืมว่าบางคนเป็นเหมือนไม้แก่ ซึ่งก็จะดัดยาก จะขุนให้ตายยังไงก็คงไม่ได้หนีไปจากเดิมมาก ถ้าเจอแบบนี้ก็คงต้องปล่อยให้กาลเวลาเป็นคนสอนเขาเองก็แล้วกัน
“การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การค้นพบว่าคน ๆ หนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เพียงแค่ปรับทัศนคติของเขาเท่านั้น”
ประโยคนี้มาจากปากของ โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรทอล์คโชว์ชื่อดังระดับโลกคนหนึ่งเคยกล่าวไว้
ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบ ทำให้เธอได้พูดคุยและพบเจอเรื่องราวมากมายจากหลายแขกรับเชิญ ทักษะการสื่อสารของเธอได้พัฒนาขึ้นในทุกครั้งที่พูดคุยกับใครสักคน ทำให้รู้ได้ไม่ยากเลยว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงแล้วดีที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ
ด้วยเป้าประสงค์อยากให้ทุกอย่างดีขึ้น เริ่มง่าย ๆ แค่ทำให้ตัวเราเองดีขึ้นก็จะสำเร็จ เพราะถ้าทุกคนคิดในทิศทางเดียวกัน เป้าหมายที่เลือนรางก็ค่อยชัดขึ้น จนวันหนึ่งมันคงเป็นภาพที่สมบูรณ์ได้แน่นอน
..
เรียบเรียงโดย: กฤตเมธ อันสมัคร
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก Pexels