ถ้าการเป็นที่หนึ่งว่ายากแล้ว การเป็นที่สองยากยิ่งกว่า…
ย้อนกลับไปตั้งแต่เล็กจนโต เราทุกคนมักถูกสอนอยู่เสมอให้รู้จักความมีน้ำใจ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงหลายสิ่งรอบตัวกำลังเต็มไปด้วยการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น ใครล้มก่อนคือพลาดสถานเดียว
รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย คติพจน์ที่เคยดังขึ้นในหัวใครหลายคน เราต้องพยายามทำเหมือนว่าโอเค ทั้งที่ข้างในใจเต็มไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน พร้อมกับความคิดที่สับสนตลอดเวลา
เมื่อทุกคนมีความตั้งใจเดียวกัน คือการเป็นผู้ชนะ และทุกการแข่งขันต้องมีคนสมหวังและผิดหวัง ฝั่งสมหวังจะแสดงออกอย่างไรคงพอเดากันได้ ที่น่าสนใจคือฝั่งที่ผิดหวัง จะต้องฝืนยิ้มเพื่อแสดงสปิริตหรือควรร้องไห้ออกมาเพื่อปลดปล่อย
ไม่นานมานี้ได้มีโอกาสนั่งชมการแข่งขันกีฬานัดชิงชนะเลิศ ทันทีที่เกมในสนามจบลง ผู้เล่นฝั่งที่ชนะต่างวิ่งกรูเข้าหากันทั้งน้ำตา พร้อมตะโกนโหวกเหวกโวยวายกันสุดฤทธิ์
ขณะที่อีกมุมของสนาม ผู้เล่นฝ่ายที่พ่ายแพ้ต่างก็ก้มหน้าคอตกกันทั้งนั้น บางคนถึงขั้นเสียน้ำตาออกมากลางสนามที่อ้อมล้อมไปด้วยผู้คนนับหมื่นอย่างไม่มีเคอะเขินเลย
ภาพความทรงจำแบบนี้คือสิ่งที่แฟนกีฬาไม่ว่าจะชนิดไหนก็เคยเห็นกันเป็นประจำอยู่แล้ว กับการที่ในสนามเดียวกัน บรรยากาศเดียวกัน แต่ความรู้สึกต่างกันจนยากจะอธิบาย
ความสำเร็จและความผิดหวังต่างก็วนเวียนอยู่ในบรรยากาศโดยรอบ จนบางคนก็พูดกันว่า นี่แหละคือเสน่ห์ของเกมกีฬา
น้ำตาคือหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่แสดงออกมาจากนักกีฬาทั้งสองฝ่ายเหมือนกัน เพียงแต่มาจากต่างความรู้สึกเท่านั้นเอง
ธรรมเนียมของการแข่งขันในนัดชิงชนะเลิศ ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากการมอบเหรียญที่ระลึกให้กับผู้แพ้ก่อน โดยที่ฝ่ายผู้ชนะจะยืนปรบมือ เพื่อเป็นการให้เกียรติคู่แข่งฝ่ายตรงข้าม
ก่อนที่ฝ่ายผู้ชนะจะรอรับเหรียญรางวัลและถ้วยแชมป์เพื่อไปเฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่ เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีในวันนั้น
แต่มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ และสร้างความสงสัยให้กับผู้ชมในสนามรวมถึงหลายคนทางบ้าน คือในระหว่างมอบเหรียญให้กับผู้แพ้ ทันทีที่ผู้จัดงานคล้องเหรียญที่คอของผู้เล่น มีหลายคนมักหยิบออกในทันที ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ว่าการกระทำแบบนี้คือการไม่ให้เกียรติการแข่งขันหรือไม่ และไม่เคารพในน้ำใจนักกีฬาหรือเปล่า เพราะการได้เหรียญก็น่าจะเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง
ซึ่งสำหรับนักกีฬาแล้ว เขาอาจไม่ได้มองแบบนั้นเลยก็ได้
ในมุมแฟนกีฬา การได้รับของที่ระลึกหรือเหรียญรางวัลบางอย่างก็ถือเป็นความทรงจำล้ำค่า เพราะเป็นการเตือนสติว่าครั้งหนึ่งฉันก็เคยได้สิ่งนี้ เคยทำสิ่งนี้นะ
แต่ในมุมของนักกีฬาอาชีพมันต่างออกไปมาก เวลาในสนามเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่คนดูอย่างเรารับชม นั่นเป็นเพียงแค่ราว 20% ที่คนหนึ่งคนจะแสดงความทุ่มเทให้ทุกคนได้เห็น
พวกเขาต้องฝึกซ้อมอย่างหนัก ต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคมาสารพัด ยิ่งเข้ารอบลึกเท่าไหร่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าความคาดหวังก็เพิ่มสูงขึ้นๆ จนยากที่จะเผื่อใจเหมือนกัน
นั่นหมายความว่า ต้องแบกรับกับความกดดันที่หนักอึ้งของทั้งแฟนกีฬามหาศาล ครอบครัว รวมถึง ตัวเองอีกด้วย
ทุกอย่างจึงเป็นการเดิมพันที่ยิ่งใหญ่ ไม่แปลกที่ทุกคนจะมีวิธีรับมือกับความรู้สึกแบบนี้ที่ต่างกันออกไป
แล้วลองคิดดูว่ากว่าจะชนะมาได้แต่ละครั้งตั้งแต่ รอบแบ่งกลุ่ม ,รอบน็อคเอาท์ ,รอบก่อนรองชนะเลิศ ,รอบรองชนะเลิศ มาจนถึงรอบชิงชนะเลิศ เส้นทางจะต้องยากลำบากขนาดไหน
ทีนี้ย้อนมาที่นักกีฬา ภายใต้ความรู้สึกทั้งหมด เชื่อได้เลยว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกไม่ภูมิใจ กลับกันเพราะพวกเขาต้องการมันมาก พอผิดหวังขึ้นมาจึงยากที่จะรับมือได้ในเวลาเท่านั้น
หนึ่งในดีเอ็นเอที่โค้ชระดับโลกหลายคนเลือกสอนมันลงไปในหัวของนักกีฬา คือจิตวิญญาณของความเป็นผู้ชนะ ต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้น ถึงจะเป็นที่จดจำของทุกคน
และนี่ไม่ใช่ความคิดที่ผิด หลายครั้งในโลกของกีฬาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าชุดความคิดนี้ได้ผล ทำให้หลายคนเจอความสำเร็จมาตั้งมากมาย และยึดถือแนวคิดแบบนี้มาโดยตลอด
เพียงแต่ทุกทฤษฎีมักถูกล้มล้างด้วยการปฏิบัติเสมอ
ผลลัพธ์ในความสำเร็จ คือความแตกต่างมนุษย์ ในทีมที่สำเร็จจะต้องประกอบไปด้วยคนมีฝีมือ และคนที่ปรับตัวกับทุกสถานการณ์ได้เก่ง จึงจะพาทุกอย่างไปพร้อมกันได้
คนที่ชนะวันหนึ่งก็กลายเป็นผู้แพ้ได้ และคงเช่นเดียวกัน คนที่แพ้ในวันหนึ่งก็จะกลับมาเป็นคนชนะได้เหมือนกัน
คุณค่าของใครสักคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาคนนั้นได้รับรางวัลการันตีมามากเท่าไหร่ หรือเป็นที่ยอมรับต่อคนอื่นมากแค่ไหน
แต่มันคือคนที่รู้ว่าในวันนี้ตัวเองมีจุดด้อยตรงไหน และจะแก้ไขอย่างไร เพื่อวันข้างหน้าจะได้เปลี่ยนความผิดหวังให้ออกมาหน้าตาคล้ายกับความสำเร็จได้สักที
คนที่น่าชื่นชมไม่ใช่แค่คนที่ชนะเสมอไปหรอก ในบางครั้งคนที่แพ้แต่ยังยิ้มได้ต่างหากที่น่าชื่นชมในหัวใจที่แข็งแรง…
..
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ภาพประกอบจาก : Pexel