เชื่อกันว่าสาเหตุที่คนเราไปได้ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ในชีวิต เป็นเพราะนิสัยที่ไม่ค่อยดีของตัวเองเป็นตัวฉุดรั้ง ทำให้มีข้อจำกัดบางอย่างอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น การเกรงใจผู้อื่นมากเกินไป ความคาดหวังที่สูงเกินไป หรือศัตรูตัวฉกาจอย่าง ความขี้เกียจ ก็ตามที เหล่านี้ก็คือตัวแปรสำคัญในชีวิตทั้งสิ้น
เรื่องราวแบบนี้มักจะส่งผลเสียต่อสภาพร่างกายและจิตใจทั้งนั้น ซึ่งพอเกิดขึ้นสิ่งแรกที่ทุกคนอยากจะทำคือการสลัดออกไปจากชีวิตในทันที โดยไม่สนใจว่าสาเหตุมาจากอะไร และแม้ว่าจะสลัดหลุดไปได้ในเวลาไม่นาน แต่สุดท้ายสิ่งนั้นก็จะกลับมาใหม่สาเหตุมาจากการไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้
แต่ก็ใช่ว่าจะหาเรื่องดีดีจากแง่มุมนี้ไม่ได้ เพราะถึงแม้เราจะพยายามเอาตัวออกมาจากนิสัยที่เป็นพิษเหล่านั้นมากเท่าไหร่ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจปัญหา หรือที่มาแท้จริงของสิ่งนั้น สุดท้ายก็จะหนีได้แค่ชั่วคราว ดังนั้น ความตั้งใจบางทีก็อาจจะไม่มากพอในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
มีนิทานเก่าแก่เรื่องหนึ่งได้เล่าไว้ในหนังสือที่การันตีด้วยรางวัลวรรณกรรมเยาวชนดีเด่น เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาเป็นคนจิตใจดี มีน้ำใจ และมีนิสัยรักเพื่อนพ้องเป็นที่สุด อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้ไปพบเพื่อนของเขากำลังเสพยาเสพติดอยู่หลังโรงเรียนอย่างมัวเมา
ทันทีที่พบเขารู้สึกตกใจมาก และพยายามจะห้ามให้เพื่อนหยุดการกระทำแบบนั้น แต่นอกจากเพื่อนจะไม่ฟังแล้วยังชวนให้เขามาเสพด้วยกันอีก ตอนแรกก็ปฏิเสธอย่างเสียงแข็ง แต่พอเวลายื้อไปนาน เพื่อนคะยั้นคะยอต่อเนื่อง ด้วยความที่รู้ว่ามันคือสิ่งไม่ดี แต่ก็ไม่อยากขัดใจเพื่อน พร้อมกับทั้งคิดว่า “แค่ครั้งเดียวคงไม่ติดหรอก” เขาจึงตัดสินใจลองเพื่อตัดรำคาญจากเพื่อน
หลังจากที่ลองครั้งแรก เขารู้สึกไม่ชอบยิ่งกว่าเดิม มันให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูกจนอยากจะอาเจียนออกมา จึงหันไปบอกกับเพื่อนว่าไม่เอาอีกแล้ว แต่กลุ่มเพื่อนก็ยังไม่พอใจ บอกว่าครั้งแรกก็แบบนี้แหละ เดี๋ยวก็ชินไปเอง พร้อมกับเชียร์ให้เขาลองเป็นครั้งที่สอง
และแน่นอนว่า เมื่อเสียงของเพื่อนดังกว่าเสียงของตัวเองเมื่อไหร่ คนเราก็มักจะทำอะไรด้วยการขาดความยั้งคิด เขาจึงลองอีกครั้ง จนสุดท้ายก็ติดมันในที่สุด
จากเด็กหนุ่มที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน จิตใจดี และอนาคตสดใสกำลังรอเขาอยู่ กลับพังทลายลงด้วยภัยร้ายที่ถูกพูดกันมาในทุกยุคทุกสมัยอย่างยาเสพติด แม้ว่าเขาจะรู้ตัวว่ากำลังติดสารเสพติดเข้าให้แล้ว แต่ก็ขัดใจไม่ได้ ทุกวันเขาต้องกระวนกระวายไปหามาเสพเพื่อบรรเทาอาการให้ลดลง
ถึงแม้ในใจจะรู้อยู่เสมอว่าสิ่งที่ทำมันผิด แต่ก็ไม่อาจแม้แต่จะคิดที่จะต่อต้าน ยิ่งนานวันเข้า ปริมาณสารเสพติดที่เขาต้องการก็ดูจะทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน จนส่งผลเสียไปทุกเรื่องในรอบข้าง ทั้งการเรียนก็ไม่ได้สนใจ รวมถึงเพื่อน ๆ ก็น้อยลงเพราะวัน ๆ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องอย่างเดียว
จนวันหนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาก็มาถึง เมื่อเขาต้องเดินทางไปทำธุระในเมืองด้วยความเป็นคนต่างจังหวัด ระหว่างรอรถประจำทางเขาก็หันไปเจอกับ พระรูปหนึ่งกำลังนั่งทำสมาธิอยู่กลางป่า พร้อมกับมีชาวบ้านหลายคนรายล้อมด้วยความศรัทธา
เขาค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้เพื่อดูว่าตรงนั้นมีอะไรกัน จึงได้ความว่า มีพระรูปหนึ่งมาธุดงค์ในป่า และมีชาวบ้านมาถวายภัตตาหารและนั่งสนทนาธรรมกันอยู่เรื่อยมา จนชาวบ้านทยอยกลับจนหมด เขาจึงตั้งใจไปกราบไหว้เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนการเดินทาง
สิ่งที่น่าเหลือเชื่อคือทันทีที่พระรูปนั้นเห็นหน้าชายหนุ่มคนนี้ก็ทักขึ้นมาว่า “มีทุกข์หนักเลยใช่ไหม” ยิ่งทำให้เขาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับปล่อยโฮแล้วเล่าเรื่องที่เขาติดยาเสพติดจนทำให้อนาคตทุกอย่างพังทลายตรงหน้าและยังทำพ่อแม่เสียใจ
เด็กหนุ่มคนนี้พยายามถามหลวงพ่อว่าจะมีวิธีการอะไรที่ทำให้เขาเลิกสิ่งเสพติดนี้ได้อย่างเด็ดขาด เพราะยิ่งตั้งใจมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยทำสำเร็จได้เลยสักครั้ง
หลวงพ่อได้หยิบชอล์กมาแท่งหนึ่งและกล่าวกับเด็กหนุ่มคนนี้ว่า “โยมไม่ต้องเลิกเสพหรอก เสพทุกวันเท่าที่ต้องการได้เลย แต่เพียงทุกครั้งที่เสพ ให้เขียนชื่อคนที่รักด้วยชอล์กนี้ไปบนกำแพง แล้ววันหนึ่งก็จะเลิกได้เอง”
เวลาผ่านไป อาการของเด็กหนุ่มคนนี้ก็ยังไม่เบาลง แต่ทุกครั้งที่เขาเสพก็จะเขียนชื่อคนที่รักไปบนกำแพงทุกวัน จนนานเข้าวันหนึ่งชอล์กแท่งนั้นก็ค่อย ๆ เล็กลงจนหมดในที่สุด และที่อัศจรรย์คือเขาไม่รู้สึกอยากอีกต่อไปแล้ว และรับรู้ได้ทันทีว่าเขาเลิกมันได้สำเร็จแล้ว
เมื่อทำได้สำเร็จเขารีบกลับไปหาหลวงพ่ออีกครั้งเพื่อมาบอกว่าวันนี้เขาเลิกยาเสพติดบ้านั่นได้แล้วด้วยเพียงชอล์กวิเศษแท่งนั้นของหลวงพ่อ
แต่หลวงพ่อกลับบอกกับเด็กคนนั้นว่า “ชอล์กแท่งนั้นเป็นชอล์กธรรมดา ไม่ได้วิเศษหรอก เพียงแต่ บางครั้งเมื่อเรารู้ว่าสิ่งไหนไม่ดี ใช่ว่าจะเลิกทำสิ่งนั้นได้ในทันที มันต้องใช้เวลา แต่หากมีความตั้งใจและเข้าใจมันอย่างจริงจัง ก็จะทำได้โดยการหั่นออกไปทีละน้อย จนวันหนึ่งสิ่งไม่ดีเหล่านั้นก็จะหมดไปเองโดยปริยาย”
หลังจากนั้นชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้ก็กลับมาสดใสและมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง เขาตั้งใจเรียนจนจบและทำงานหาเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ และพบเจอแต่สิ่งดีดีในเวลาต่อมาเสมอ
เรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ทำให้เข้าใจว่าแม้ว่าความตั้งใจที่คิดว่ามันมีมากเพียงใด ก็อาจไม่พอในการจะทำอะไรให้สำเร็จได้ ต้องอาศัยความเข้าใจด้วย และสิ่งหนึ่งที่คนทุกคนไม่เคยเร่งรัดได้นั่นคือ เวลา
การจะให้เรื่องแย่ออกจากชีวิตในทันทีมันเป็นเรื่องยาก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แค่ทำอย่างถูกวิธีและเหมาะสม เหมือนกับการดื่มน้ำ แม้ว่าเราจะกระหายมากแค่ไหน เราก็ทำได้แค่ค่อย ๆ กินอย่างช้า ๆ หากกินเร็วไปก็อาจจะสำลักได้ และความสดชื่นไม่ได้อยู่ที่ว่าเราดื่มน้ำได้มากขนาดไหน แต่มันอยู่ในทุกกระบวนการตั้งแต่จากปากลงคอสู่ทางเดินอาหารและเข้ามาในร่างกาย รสชาติเหล่านี้คือสิ่งสวยงาม แค่อยู่อย่างเข้าใจและไม่เป็นปัญหา ต่อให้เรื่องราวในชีวิตมันจะขมหรือจืดชืดสักแค่ไหน คุณก็พร้อมจะดื่มด่ำรสชาตินั้นอย่างเต็มใจเสมอมา
…
เรียบเรียงโดย: กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels