บทเรียนแห่งความสำเร็จของ แจ็ค หม่า: ทำไมคิดการใหญ่จึงสำคัญกว่าความรู้ในหนังสือ
“เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ทำ”
นี่เป็นปรัชญาประจำใจที่คนจีนแผ่นดินใหญ่ล้วนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เกิด
ประเทศจีนเคยเป็นประเทศที่ยากจน มีพลเมืองล้นประเทศ มีการเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และการเมืองมาหลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าจีนล้มลุกคลุกคลานมากเพียงใด แต่ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา
เปลี่ยนจาก “จน” กลายเป็น “จีน” ที่สง่างาม พร้อมที่จะแข่งขันกับโลกตะวันตก
เพราะการปลูกฝังปรัชญา “เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ทำ” มาตั้งแต่เกิดหรือเปล่าที่ทำให้จีนการเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกได้ คุณมักจะเห็นว่าประเทศจีนมักจะทำเรื่องที่เป็น “ที่สุดในโลก” เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลก การมีมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก หรือแม้กระทั่งมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
แน่นอน ถ้าพูดถึงมหาเศรษฐีชาวจีน คนคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “แจ็ค หม่า” (Jack Ma) นั่นเอง
นี่คือเรื่องราวของ แจ็ค หม่า ชายที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศจีนและบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับที่ 5 ของโลกประจำปี 2021 ที่จัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส (Forbes Magazine) ด้วยทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 35,000 ล้านดอลลาร์
แจ็ค หม่า เกิดเมื่อปี 1964 ตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ตัวเองได้เรียนภาษาอังกฤษ เขาเป็นแฟนหนังสือตัวยงของ มาร์ค ทเวน (Mark Twain) นักเขียนชาวอเมริกัน และเขามักจะเวลาในการฝึกฝนภาษาอังกฤษของเขาให้ดีขึ้นเสมอ ตอนที่เขาอายุได้ 12 ปี เขาเริ่มคิดว่าจะฝึกฝนภาษาอังกฤษอย่างไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น ทุก ๆ ตีห้า เขาจึงขี่จักรยานเป็นเวลา 40 นาทีไปยังโรงแรมใกล้บ้านและนั่งรอนักท่องเที่ยว เมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มทยอยมา เขาก็อาสาเป็นไกด์พานักท่องเที่ยวเดินชมเมืองและเพื่อให้พวกนักท่องเที่ยวสอนภาษาอังกฤษให้เขา แม้ฝนหรือหิมะจะตก เขาก็จะรออยู่แถว ๆ โรงแรมทุกวัน
จนวันหนึ่งเขาได้พบกับครอบครัวท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียรอบครัวหนึ่ง และในไม่ช้า แจ็ค หม่า ก็ได้กลายเป็นเพื่อนกับพวกเขา พวกเขาได้ชวน แจ็ค หม่า ไปเที่ยวที่ออสเตรเลียด้วย ซึ่งการไปเที่ยวออสเตรเลียในครั้งนั้น ทำให้เขาได้เปิดโกทัศน์ใหม่และรู้สึกประทับใจกับมาตรฐานการครองชีพของผู้คนที่มีความสุขมากกว่าเมื่อเทียบกับแผ่นดินจีนบ้านเกิดของเขา
แม้จะชอบภาษาอังกฤษมากแค่ไหน แต่ แจ็ค หม่า ก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้
แม้ว่าภาษาอังกฤษของเขาจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เขาอ่อนวิชาคณิตศาสตร์มากจนเข้ามหาวิทยาลัยไม่ผ่าน เขาทำได้เพียง 1 คะแนน จาก 120 คะแนนที่เป็นไปได้ ปีต่อมาเขาลองสอบอีกครั้ง และครั้งนี้เขาได้คะแนน 19 จาก 120 คะแนน แต่คะแนนก็ยังแย่มากอยู่ดี ถึงกระนั้น เขาก็พยายามต่อไปจนในที่สุดก็สามารถเข้าวิทยาลัยครูได้ แม้จะเป็นวิทยาลัยที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงก็ตาม ในปี 1988 เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาภาษาอังกฤษและได้ทำงานเป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ
การสร้างบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะทาง ความรู้ทางเทคนิค คณิตศาสตร์ระดับอัจฉริยะ หรือแม้แต่แผนธุรกิจ
แล้วจะต้องใช้อะไร?
ในปี 1995 แจ็ค หม่า มีโอกาสได้เดินทางไปซีแอตเทิล สหรัฐอเมริกา เขาได้พักกับเพื่อนคนหนึ่ง และเพื่อนคนนั้นได้เปิดอินเทอร์เน็ตให้เขาเห็นเป็นครั้งแรก ทำให้เขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณทันทีว่า อินเทอร์เน็ตจะเข้ามีบทบาทสำคัญต่อโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าต่อจากนี้ และในปีเดียวกันนั้นเอง เขาได้ก่อตั้งบริษัท “China Yellow Pages” ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจทางอินเตอร์เน็ตแห่งแรกของจีน เขาต้องใช้เงินเกือบทั้งหมดในการจดทะเบียนตั้งบริษัทและมีเงินเหลือติดตัวเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ส่วนออฟฟิศของเขานั้นก็มีอยู่ห้องเดียวและมีคอมพิวเตอร์เก่า ๆ เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น
ขณะที่เขาก่อตั้งบริษัทอยู่นั้น ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือ เขาไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตในบ้านเกิดของเขาที่หางโจวได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ใคร ๆ ก็คงจะเลิกคิดที่จะตั้งบริษัทอินเทอร์เน็ตแน่นอน แต่ แจ็ค หม่า ไม่คิดเช่นนั้น เขาบอกเพื่อนทุกคนเกี่ยวกับความน่าทึ่งของอินเทอร์เน็ตและช่วยออกแบบเว็บไซต์ให้พวกเขา โดย แจ็ค หม่า ขอให้พวกเขาส่งข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทของพวกเขา ซึ่งเขาแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ไปที่ซีแอตเทิล ซึ่งเป็นสถานที่สร้างเว็บไซต์จริง ๆ เพื่อนของ แจ็ค หม่า ในซีแอตเทิลได้ถ่ายภาพหน้าจอเว็บไซต์ที่พวกเขากำลังทำงานอยู่ และภาพถ่ายพวกนั้นไปยังประเทศจีน เพื่อให้ลูกค้าดู ซึ่งทำให้เขาสามารถตั้งบริษัทที่บ้านเกิดของเขาได้จริง ๆ และลูกค้าก็ยินดีที่จะจ่าย 20,000 หยวน (ประมาณ 2,400 ดอลลาร์) เพื่อให้พวกเขาทำเว็บไซต์ให้อีกด้วย
เราต้องการเป็นที่หนึ่งในโลก
ไม่กี่ปีต่อมา เขาได้เปลี่ยนรูปแบบในการทำธุรกิจของเขาบ่อยครั้ง รวมถึงการทดลองทำธุรกิจใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในปี 1999 เขาก่อตั้ง “อาลีบาบา” (Alibaba) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) รายแรก ๆ ของโลก ตอนก่อตั้งเว็บไซต์ในช่วงแรก ๆ นั้น แจ็ค หม่า เคยเล่าไว้ว่า “สัปดาห์แรก เรามีพนักงาน 7 คน เราซื้อมาแล้วก็ขายไป สัปดาห์ที่ 2 มีคนเริ่มขายของบนเว็บไซต์ของเรา และเราซื้อทุกอย่างที่พวกเขาขาย เรามีห้อง 2 ห้องที่เต็มไปด้วยของที่เราซื้อมาโดยไม่ได้ใช้จนกลายเป็นขยะไปหมดแล้ว เราทำแบบนี้เพื่อบอกผู้คนว่าเว็บไซต์ของเราได้ผล”
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาลีบาบา เขามักจะคิดการใหญ่และตั้งเป้าหมายแบบคนที่ทะเยอทะยานมาก ๆ หลังจากก่อตั้งบริษัทได้ไม่นาน เขาเคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า “เราไม่ต้องการที่จะเป็นที่หนึ่งในประเทศจีน แต่เราต้องการที่จะเป็นที่หนึ่งในโลก”
เขาเชื่อมั่นในความสำเร็จในอนาคตของเขามาก เขาเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ในอีก 5-10 ปีข้างหน้าอาลีบาบาจะเป็นอย่างไร” และเขาตอบว่า “คู่แข่งของเราไม่ได้อยู่ที่จีน แต่อยู่ที่ซิลิคอนวัลเลย์…เราต้องทำให้อาลีบาบาให้เป็นเว็บไซต์ระหว่างประเทศให้ได้”
ดังนั้น เขาจึงพยายามหาเงินจากผู้ร่วมทุนจาก “พาโล อัลโต เน็ตเวิร์กส์” (Palo Alto Networks) บริษัทด้านความมั่นคงและความปลอดภัยทางไซเบอร์ชื่อดังของอเมริกา นักลงทุนที่เขาพบส่วนใหญ่มักจะชอบให้เขานำเสนอแผนธุรกิจเหมือนกับบริษัทอื่น ๆ แต่ แจ็ค หม่า ไม่เคยมีแผนธุรกิจ คติในการทำธุรกิจของเขาก็คือ “ถ้าคุณวางแผน คุณแพ้ ถ้าคุณไม่วางแผน คุณชนะ”
จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจแนวคิดของเขา เขาเคยยอมรับว่า “ตอนนั้นเรายังไม่มีรูปแบบธุรกิจที่ชัดเจนจริง ๆ ” แต่ด้วยความมุ่งมั่นของเขา ทำให้เขาสามารถโน้มน้าวนักลงทุนชาวจีนที่ Goldman Sachs ธนาคารเพื่อการลงทุนข้ามชาติของอเมริกา นักลงทุนคนนั้นจึงร่วมลงทุนกับเขาเป็นจำนวนเงิน 5 ล้านดอลลาร์
สัญชาตญาณสำคัญกว่าความรู้ในหนังสือ
แจ็ค หม่า ได้แสดงให้เราเห็นว่า “สัญชาตญาณ” ของผู้ประกอบการอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ความเต็มใจที่จะเปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ และความพร้อมที่จะปรับแผนหรือโมเดลธุรกิจอยู่เสมอ มีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางหนังสือบริหารธุรกิจเสียอีก ในการบรรยายครั้งหนึ่ง แจ็ค หม่า ได้กล่าวว่า “คุณไม่จำเป็นต้องเรียน MBA การจบ MBA มาไม่มีประโยชน์…แต่ถ้าพวกเขาไม่ลืมสิ่งที่ได้เรียนรู้มา แต่พวกเขาถึงจะมีประโยชน์อย่างแท้จริง มหาวิทยาลัยให้ความรู้ ในขณะที่การทำธุรกิจต้องอาศัยปัญญา และปัญญาก็ได้มาจากประสบการณ์ ส่วนความรู้นั้นได้มาจากการทำงานหนัก”
สิ่งที่ แจ็ค หม่า ได้กล่าวไว้นั้นได้รับการยืนยันจากงานวิจัยทั้งหลายว่า ความสำเร็จของผู้ประกอบการไม่ได้เป็นผลมาจากการเรียนรู้เชิงวิชาการหรือความรู้ในหนังสือ แต่มาจากการเรียนรู้โดยสัญชาตญาณและความรู้สึกของตนเอง และมันไม่ใช่สิ่งที่ไม่มีเหตุผลหรือเป็นเรื่องลึกลับ แต่มันคือประสบการณ์ที่สั่งสมมา ซึ่งเป็นผลมาจากการผสมผสานระหว่างความพยายามและความกล้าที่จะลองทำ
ผมไม่เก่งเรื่องเทคโนโลยี
ตอนที่เขาก่อตั้งบริษัทอินเทอร์เน็ตที่หางโจว เขาไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีเลย เขาเคยกล่าวไว้ว่า “ผมไม่เก่งเรื่องเทคโนโลยี…ผมเพิ่งหัดใช้ตอนเป็นครูสอนนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย มันเป็นเรื่องตลก ผมเป็นถึงเจ้าของบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน แต่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เลย ทั้งหมดที่ผมรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็คือวิธีการรับ-ส่งอีเมลและการท่องเว็บเท่านั้น”
แจ็ค หม่า ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเป็นนักออกแบบเว็บไซต์และเข้าสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบธุรกิจต่อธุรกิจ (B2B) และยังคงพัฒนาธุรกิจของเขาไปในทิศทางใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ในปี 2003 เขาได้ก่อตั้งเว็บไซต์ “Taobao” ซึ่งเป็นเว็บไซต์ช็อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของจีน แต่หลายเริ่มกังวลว่า การที่ แจ็ค หม่า ก่อตั้งเว็บไซต์ “Taobao” เป็นเรื่องที่เขาคิดถูกหรือไม่? เพราะขณะนั้นอาลีบาบายังไม่สามารถทำกำไรได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลานั้น การระดมทุนจากบริษัทร่วมทุนเป็นเรื่องยากมากขึ้น แจ็ค หม่า ควรจะเปิดบริษัทใหม่จริง ๆ หรือ? หลายคนจึงเตือนให้เขาระวังตัว
แต่ในที่สุด แจ็ค หม่า ก็คิดถูก ในปี 2007 เขาสามารถเอาชนะคู่แข่งที่สุดโหดอย่าง eBay ได้ eBay เป็นบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงินสูงกว่าบริษัทของ แจ็ค หม่า แต่ eBay ต้องเลิกกิจการในประเทศจีน เพราะไม่เคยเข้าถึงตลาดจีนได้เลย ผู้ค้ารายย่อยส่วนใหญ่ได้หันมาใช้ “Taobao” แทน และในปี 2004 เขายังได้ก่อตั้ง “Alipay” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบริการชำระเงินทางอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
แจ็ค หม่า เป็นมนุษย์ที่เปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ อยู่เสมอ เขากล่าวว่า “ผู้ประกอบการทุกคนรู้ดีว่าหน้าที่พวกเขาคือจัดการกับความยากลำบากและความล้มเหลว มากกว่าที่จะนิยามตัวเองด้วยคำว่า ‘ความสำเร็จ’ ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของผมยังมาไม่ถึง แต่มันจะมาถึงอย่างแน่นอน ประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการเกือบทศวรรษบอกผมว่า ช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือให้ผู้อื่นแบกรับได้ ผู้ประกอบการต้องสามารถเผชิญกับความล้มเหลวด้วยตัวเองและไม่ยอมแพ้”
และนี่คือเรื่อง “ใหญ่ ๆ ” ที่ คนตัว “เล็ก ๆ ” อย่าง แจ็ค หม่า ทำ
คนที่คิดการใหญ่มักจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้เสมอ
แล้วคุณล่ะ อยากคิดการใหญ่เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง…หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกนี้ดูบ้างไหม?
อ้างอิง: