ในชีวิตที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงสารพัด ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหนก็ลำบากไปหมด การจะหางานในยุคสมัยนี้เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรหรือขุดเหรียญคริปโตฯเสียอีก
การแข่งขัน ช่วงเวลา และโอกาสแม้จะมีอยู่รอบตัวมากมาย แต่ก็มาพร้อมกับจำนวนผู้คนที่ค้นหามันอยู่ตลอดเวลา ทำให้การจะคว้ามาครอง ไม่เคยง่ายสักครั้งเดียว
ถ้าการหางานว่ายากแล้ว การจะทนอยู่กับปัญหาในที่ทำงานนั้นยากยิ่งกว่า มีหลายคนตัดสินใจลาออกจากงานในช่วงที่สถานการณ์หลายสิ่งดูจะไม่โอเค และเหตุผลอันดับหนึ่งมาจากสังคมในที่ทำงานเป็นผลมาจาก “หัวหน้า” อย่างปฏิเสธไม่ได้
อะไรที่ทำให้การตัดสินใจที่ยากลำบากแบบนี้ ถึงออกมาด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ ลองมาหาคำตอบไปด้วยกัน…
แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากออกจากงานกันง่ายๆ ต่อให้เก่งหรือฉลาดแค่ไหนก็ต้องวิเคราะห์ถึงผลการตัดสินใจอย่างถี่ถ้วน
ในการทำงานหลายครั้งที่อาจจะเจอกับชิ้นงานที่ยาก โปรเจ็กต์ที่ใหญ่เกินจะรับผิดชอบ แต่เมื่อให้เวลาฝึกฝน เรียนรู้กับสิ่งตรงหน้า ไม่นานก็จะค่อยชำนาญขึ้นตามเวลาแต่ละคน
แต่สิ่งที่ต่อให้เรียนรู้สักแค่ไหนก็ไม่มีทางเข้าใจ คือการต้องพบปะกับผู้นำแย่ๆ จริงอยู่ที่หัวหน้าบางคนเก่งจริง แต่มีวิธีการพูดและแสดงออกที่ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่
ไปจนถึงบางคนแม้จะได้ครองตำแหน่งเป็นหัวหน้า ก็ไม่ได้แสดงออกให้เห็นถึงความเป็นผู้นำและคุณภาพสักเท่าไหร่นัก
จนเกิดคำถามากมายว่าความเป็นจริง หัวหน้าที่เจอนั้นแย่จริงๆ หรือเพราะลูกน้องยังไม่มีวิธีรับมือกับหัวหน้าที่ดีพอเท่านั้นเอง
ประเด็นนี้ไม่ใช่เพียงแค่การนั่งเทียนเขียนขึ้นมาเอง มีการตั้งข้อสงสัยกันมากมาย จนมีทั้งหนังสือหลายเล่มที่เลือกจะนำเสนอเรื่องราวของการเป็นผู้นำ ว่ามีวิธีการอย่างไรที่จะทำให้ทุกคนกลายเป็นผู้นำที่ดี หรือรับมือกับผู้นำที่ไม่ดีได้อย่างไร
ขอเลือกหยิบหนึ่งงานที่มาจากหนังสือชื่อ Managing Up จาก Mary Abbajay เป็นหนังสือที่ว่าด้วยการรับมือกับการเจอหัวหน้าที่ไม่ถึงประสงค์ พร้อมแผนเด็ดที่จะทำให้มุมมองเปลี่ยนไป
จัดการงานที่ว่าซับซ้อน ยังไม่เท่าจัดการกับจิตใจของมนุษย์ ความเข้าใจของหลายคนคือการจะต้องพาตัวเองเป็นผู้นำให้ได้ เพื่อความก้าวหน้า ความมั่นคง และโอกาสต่างๆ
ซึ่งในความเป็นจริง ต่อให้เป็นผู้จัดการหรือเจ้าของบริษัทก็มักจะมีหัวหน้าด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ในบางทีพวกเขาอาจหลงลืมบทบาทในบางครั้ง ทำให้เกิดการรับมืออย่างไม่สู้ดีนัก
การรับมือกับผู้นำที่ไม่ดี ถามว่ามีสูตรตายตัวไหม ก็คงไม่!
เพราะแต่ละบุคลิกนิสัยแต่ละคนก็คงจะต่างกัน แต่ในสิ่งแวดล้อมที่ทำงานที่มีทั้งหัวหน้าและลูกน้อง แน่นอนว่าทุกคนต้องทำงานร่วมกัน และมีเป้าหมายไปในทางเดียวกัน
หากมีใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีมุมมองที่ขัดต่อการพัฒนาองค์กร ไม่สามารถยกระดับมาตรฐานผลงานให้อยู่ในระดับที่ดีกว่าเดิมได้ ก็คงอาจต้องหาวิธีรับมือกับเหตุการณ์เหล่านี้กันใหม่
Managing Up จะนำเสนอในมุมมองของทุกคนที่จะรับมือกับหัวหน้าได้อย่างชาญฉลาด ใจความสำคัญของเรื่องคือต้องเข้าใจในบุคลิกของบุคคลและปัญหานั้นๆ
อย่างถ้าเจอหัวหน้าที่ขี้หงุดหงิด ชอบกดขี่ สิ่งที่ควรทำไม่ใช่การแสดงตัวว่าจะงัดข้อในทันที แต่อาจหลบเลี่ยงให้เป็น และตอบรับด้วยความใจเย็น เพื่อเป็นกระจกสะท้อนในสิ่งที่เขาเป็น
หรืออีกเหตุการณ์คือ การส่งต่อความกดดันจากหัวหน้าสู้ลูกน้อง ไม่ว่าจะคำพูดที่แย่ หรืออากัปกิริยาที่ไม่เหมาะสม การจะให้พูดตรงๆ ก็คงจะไม่เวิร์คเท่าไหร่ หรือจะรอให้คิดได้เอง เห็นทีก็อาจจะไม่ทัน
ดังนั้น อาจต้องหาวิธีใหม่ๆ เช่นยกตัวอย่างบุคคลอื่น แล้วนำมาพูดสะท้อนอ้อมๆด้วยการสนทนา เพื่อเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างให้เขาได้คิดตาม โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงใดๆ หากพูดตรงเกินไปก็อาจส่งผลเสียตามมาได้
หลักๆแล้ว สิ่งที่ Managing Up กำลังจะบอกคือ ให้เข้าใจไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง และไม่ใช่การพาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง แต่ต้องเริ่มจากที่ตัวเราปรับเข้าหากับสไตล์ของหัวหน้า
ความคิด คือตัวแปรการรับมือที่แข็งแรงและได้ผลที่สุด เมื่อเริ่มคิดว่าจะปรับที่ตัวเราก่อน เข้าใจในสิ่งที่คนอื่นทำมากขึ้น บางทีพฤติกรรมที่แสดงออกมาที่มองว่าไม่ดีจากหัวหน้าของเรา
ลึกในใจพวกเขาอาจไม่ได้เป็นคนแบบนั้นสักทีเดียว เพียงแค่วันนั้นเหนื่อยเกินไป หรือได้รับความกดดันมาจึงยากที่จะสลัดอารมณ์ออกไปได้ และยังมีเหตุผลอีกมากมายได้ทั้งนั้น
สิ่งที่อยากให้ทำความเข้าใจ ก่อนที่จะตัดสินใจลาออก ไม่ใช่ชี้ให้เห็นแต่ข้อเสียทั้งหมด แต่นั่นคือสติของตัวเอง ช่างน้ำหนักข้อดีข้อเสียโดยปราศจากอคติส่วนตัวทั้งหมด
ใช้ความพยายามในการอยู่ร่วมกันให้มากที่สุด แต่ละบทบาทย่อมมีมุมมองที่ต่างกัน มุมของหัวหน้าที่ต้องรับความรับผิดชอบจากหลายทาง ก็ทำให้ต้องเด็ดขาดในบางโอกาส
อาจทำให้หลายคนไม่ชอบ สุดท้ายก็เพื่อผลลัพธ์ที่น่าพอใจของงาน แต่หากพนักงานมีวิธีการอื่นที่ส่งเสริมและไม่ทำให้ผลลัพธ์ผิดเพี้ยน เพียงแค่นำมาคุยกัน และปรับความเข้าใจกันและกันอย่างตรงไปตรงมา เชื่อว่าอะไรดีๆน่าจะปรากฏ
การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับหัวหน้า ไม่ใช่เพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งหน้าที่การงานเท่านั้น แต่ยังได้มุมมองใหม่เกิดขึ้น ได้คอนเนกชั่น ที่สำคัญได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันมากขึ้น
เพราะในสังคมไม่มีใครจะอยู่คนเดียวได้เสมอ และก็ไม่มีใครต้องการพึ่งพาคนอื่นเสมอเช่นกัน เพียงแต่ต้องรู้ว่าจังหวะไหนควรพึ่งตัวเอง หรืออาศัยการทำงานเป็นทีม
เพียงเท่านี้ เชื่อว่าปัญหาที่เคยยาก ก็จะเริ่มง่าย เพียงแค่เปิดใจ ยอมรับผู้อื่น และเข้าใจตัวเองให้มากพอ ก็เท่านั้นเอง…
…
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ภาพประกอบจาก : Pexel