
ภาพโดย Freepik
คงจะดี ถ้าเวลาอ่อนแอ จะมีเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตมาช่วยฉุดรั้งให้ลุกขึ้นมาจากหลุมพรางที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ สิ้นหวัง และหมดกำลังใจ คงช่วยให้พลังงานที่หายไปได้ฟื้นคืนชีพกลับมาไหลเวียนทั่วร่างกายของเราอีกครั้งหนึ่ง
ผู้คนในสังคม เมื่อเจอเรื่องที่เป็น Negative ในชีวิตปัจจุบัน ก็มักจะก้มหน้าก่นด่าย้อนไปถึงอดีต และกำหนดเงื่อนไขของตัวเองขึ้นมาทันทีว่า “ถ้าวันนั้นฉันทำแบบนี้ ก็คงจะไม่เป็นแบบนั้น”
การกล่าวอ้างถึงอดีตไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนะบอกก่อน บางครั้งอดีตที่เจ็บแสบก็สั่งสอนประสบการณ์สุดล้ำค่าให้กับคนคนนั้นเสมอ เมื่อนำไปใช้ต่อก็จะถูกจังหวะเวลากว่าที่เคย
แต่ในบางครั้งต้องยอมรับว่าการโหยหาแต่อดีตที่มากเกินไป มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องสายเกินกว่าจะกลับไปแก้ไข สิ่งที่ควรทำให้ดีที่สุดไม่ใช่การลบล้างอันเดิม แต่เป็นการสร้างอันใหม่ขึ้นมาต่างหาก
ชีวิตที่ต้องค้นคว้าหาความยั่งยืนที่ดูจะย่ำแย่สวนทางกัน ทรัพยากรในมือที่มีอย่างจำกัด เท่านี้ก็เพียงพอให้เป็นเหตุผลว่าคนส่วนมากมักไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ทำอยู่ปัจจุบัน
แม้แต่ในองค์กรใหญ่ ๆ ที่มีมือดีมากฝีมืออยู่เพียบ ก็ยังมีการเก้าอี้ดนตรีกันเกิดขึ้น เดี๋ยวคนนั้นย้ายไปที่นี่ คนนี้ย้ายไปที่นั่น สลับกันไปมาราวกับว่าทุกเวลาคือช่วงตลาดซื้อ-ขายได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว องค์กรระดับที่โตกว่าก็จะดึงผู้เล่นชั้นยอดจากบริษัทที่เล็กกว่าไปเสมอ
ส่งผลให้บริษัทเล็ก ๆ ต้องพยายามเฟ้นหาผู้คนที่เปี่ยมด้วยความสามารถอย่างต่อเนื่อง เมื่อเจอแล้วเขาจะพยายามเค้นหาฟอร์มที่ดีที่สุดของคนนั้นให้ได้ เพื่อที่จะในวันหนึ่ง เขาไม่มีทางรู้เลยว่าถ้าคนที่เขาปลุกปั้นมากับมือจะอยากย้ายไปเติบโตอีกไหม
และไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลา ความทะเยอทะยานคือส่วนหนึ่งของชีวิต หากว่าพวกเขาเหล่านั้นเสริมสร้างกระดูกจนเบอร์ใหญ่ขึ้น โอกาสที่กว้างในการก้าวหน้าอยู่แค่เอื้อม แทบหาเหตุผลไม่ได้เลยว่าทำไมจะต้องไม่ไปอยู่ที่ดีกว่า
จะว่าไป นี่ก็คงเป็นเหตุผลให้คนสมัยใหม่ย้ายงานเป็นว่าเล่น ตามวัฏจักรกลไกความต้องการของมนุษย์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งเลยสักวินาทีเดียว
ความรักที่เกิดขึ้นระหว่างพนักงานสักคนกับชิ้นงานที่ได้รับมอบหมาย ประโยคนี้อาจทำให้สงสัยว่า มีอยู่จริงด้วยเหรอ แต่สุดท้ายนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากมาย
ผมกำลังเล่าถึงเรื่องของชายผู้ทำให้วงการภาพยนตร์สั่นสะเทือนในฐานะผู้กำกับ ‘เจมส์ คาเมรอน’ ผู้กำกับหนังฝีมือทอง การันตีโดยรางวัลออสการ์มากมาย ทั้ง คนเหล็ก 2 ,ไททานิค หรือภาพยนตร์สุดยอด 3D เรื่องแรก ๆ ของโลกอย่าง อวตาร ก็ล้วนแล้วมาจากฝีมือของเขาทั้งสิ้น
ปลายทางแม้แสงสปอตไลท์จะส่องมาที่ตัวเขาอย่างเฉิดฉาย ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คืองานคือเกิดมาเพื่อเขา เขาคงใช้เวลากับมันอย่างเต็มที่ตั้งแต่เกิด หรือบางคนอาจจะกำลังอิจฉาคิดว่าผลงานการชอบทำภาพยนตร์คือสิ่งที่เขาเริ่มต้นตั้งแต่ยังเยาว์
แต่ไฉนความเป็นจริงใครจะเชื่อว่า ครั้งหนึ่งในช่วงที่เขากำลังศึกษาอยู่ในชั้นมหาวิทยาลัยปีที่ 2 เขาได้ทำงานรับจ้างขับรถบรรทุกด้วย โดยควบคู่กับงานเขียนไปพลาง ๆ แถมระหว่างนั้นก็ยังพยายามเรียนรู้ในเรื่อง สเปเชียลเอฟเฟคต่าง ด้วยตัวเอง
และจุดเปลี่ยนของ ‘เจมส์’ เมื่อเขาดู Star Wars จบลง ตัดสินใจเลิกขับรถบรรทุก เพื่อหางานในวงการภาพยนตร์ที่เขารักในทันที ซึ่งเริ่มต้นจากผู้ช่วย ก่อนที่จะสำเร็จเฉกเช่นทุกวันนี้
สิ่งที่เรื่องราวของ เจมส์ คาเมรอน กำลังจะบอกอะไรกับเรา
การที่เราเคยทำสิ่งใดที่อาจจะคิดว่าลงตัวระดับหนึ่งแล้ว ไม่ได้แปลว่าไม่มีสิ่งที่เราทำได้ดีกว่าอยู่บนโลกใบนี้ ทุกครั้งที่เราเสียเวลากับสิ่งเดิมซ้ำ ๆ ก็หมายความว่าก็กำลังเสียเวลากับสิ่งที่ดีกว่าไปพร้อมกันเสมอ
สิ่งที่เขาตัดสินใจไม่ได้หมายความว่าถูกต้องทั้งหมด แต่นับเป็นความกล้าหาญชั้นเลิศ เพราะการสละหน้าที่การงานในการขับรถบรรทุกที่รายได้มั่นคง ไปมุ่งหาฝันในวงการภาพยนตร์เป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่าย เหมือนเริ่มต้นกันใหม่ และที่สำคัญรายได้ขับรถบรรทุกกับมาเป็นผู้ช่วยคงต่างกันพอสมควร
แต่ในเมื่อเงินเยอะแต่ไม่ตอบโจทย์หัวใจ ยอมได้น้อยแต่ตามเป้าหมายคงจะดีกว่า
เชื่อว่าชีวิตทุกคนต้องเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ที่ว่าหากงานที่ทำอยู่ทุกวันค่าตอบแทนโอเคแต่ไม่ค่อยชอบ กับ การไปตามหาสิ่งที่ชอบโดยที่ไม่รู้ว่าผลตอบแทนเป็นอย่างไร คงลำบากใจไม่มากก็น้อย
เหตุผลเดียวที่จะทำให้ทุกคนตัดสินใจได้ง่ายขึ้น คือต้องลองถามตัวเองว่าจริงจังกับสิ่งที่ชอบมากแค่ไหน ถ้าหากพร้อมจะทุ่มเททุกอย่างก็มุ่งหน้าไปสิ่งที่ปรารถนาเสียเถิด
แต่ถ้าดูแล้วว่าต่อให้ชอบแค่ไหนก็ยังมองไม่เห็นภาพตัวเองไปในจุดที่สูงสุดอยู่ดี ก็อย่าไปเสี่ยงจะดีกว่า มุ่งหน้าตั้งตาทำปัจจุบันในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดก็พอ
เหมือนกับถ้าคุณอยากมีเงินล้านก่อนแรกในชีวิต มีวิธีพาตัวเองไปให้ถึงมากมายหลายเส้นทาง อยู่ที่คุณจะเลือกใช้วิธีไหนที่เหมาะสม
จะเลือกเก็บ 1 หมื่นบาท เป็นจำนวน 100 เดือน
หรือ
จะเลือกเก็บ 1 แสนบาท แค่ 10 เดือนเท่านั้นเอง
ก็อยู่ที่การตัดสินใจอันชาญฉลาดของทุกคนแล้ว
อดีตที่ผ่านมาแล้วให้มันผ่านไป แม้ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ตัดทุกอย่างออกไปแล้วสำรวจว่าคุณอยากมีเงินล้านมากแค่ไหน แล้วคุณสามารถรอได้ขนาดนั้นหรือไม่ มีหนทางง่าย ๆ คือคุณต้องย่นระยะเวลาลงมาด้วยการหาให้ได้มากกว่าเดิม
ถ้าสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันไม่ทำให้เรามองเห็นตัวเองในอนาคตก็ควรจะพิจารณาว่าจะพร้อมเสียเวลาตรงนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กัน กว่าจะเห็นแบบที่เราต้องการ
เหมือนกับประโยคที่ไม่รู้ว่าใครเคยพูดเอาไว้
อย่าเสียเวลากับอะไรที่มองไม่เห็นอีกเลย
เพราะต่อให้ได้มา ก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันใช้อย่างไร
..
อ้างอิง: MangoZero
เรียบเรียงโดย: กฤตเมธ อันสมัคร
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก Freepik