ถ้าพูดถึงสองลักษณะนิสัยที่ดูจะตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงอย่างความขยันและความขี้เกียจ หลายคนอาจคิดว่าสองสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ที่ไหนได้ทั้งคู่คือสิ่งที่ต้องอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกันไม่ต่างจากความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศเลย
หลายคนชอบมองภาพของกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จว่าคนเหล่านี้ต้องมีแต่ความขยันอยู่ในตัวที่สูงกว่าคนทั่วไป ถึงได้หยิบจับอะไรก็ดูจะเป็นรูปเป็นร่างไปเสียหมด
ส่วนคนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ผู้คนก็ชอบตีหน้าว่าคนเหล่านี้ย่อมขี้เกียจ ถึงได้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกับคนอื่นเขา ชอบยึดติดกับสิ่งเก่าๆ ถึงได้ไม่ไปไหนสักที
ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดในชนิดที่เลวร้ายมากที่สุด เพราะคนที่ดูเหมือนว่าเขาไม่มีอะไร ความจริงเขาอาจจะกำลังพยายามทำหลายต่อหลายสิ่งมานับครั้งไม่ถ้วน เพียงแต่ยังไม่ถึงวันของเขาเท่านั้น และคนที่ใครต่อใครเรียกว่าสำเร็จ เขาอาจจะทำอะไรด้วยความไม่ตั้งใจ แต่กลับส่งผลดีในแบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน
ยิ่งในยุคปัจจุบันที่ใครเจอเส้นทางในชีวิตของตัวเองที่เร็วกว่าก็มักจะถูกอ้อมล้อมด้วยคำชื่นชมสารพัด ส่วนใครที่ยังหาต้นชนปลายไม่เจอก็จะถูกมองข้ามจนถูกหลงลืมไปในสักวัน
ถ้ามองให้เป็นเรื่องราวในแง่มุมดี ๆ ก็ทำให้เห็นว่าโลกยุคใหม่ต่างจากยุคเดิมอย่างสิ้นเชิง ข้อมูลองค์ความรู้แทบจะทุกอย่างสามารถค้นหาและศึกษากันได้ในระยะเวลาเพียงไม่นาน ไม่เหมือนกับแต่ก่อนที่กว่าจะกระจ่างในแต่ละเรื่องใช้เวลานานเป็นหลักเดือนหรือปีเลยทีเดียว
แต่มันก็น่าเสียดายที่ผู้คนที่มีความสามารถหลายคนกำลังถูกบ่มเพาะเติบโตมารูปแบบและระยะเวลาที่เหมาะสม แต่กลับถูกนำไปเปรียบเทียบกับคนที่ทำได้เร็วกว่า จนส่งผลให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ากว่าคนที่ประสบความสำเร็จ และหมดกำลังใจไปในที่สุด
คำถามก็คือว่า แล้วความสำเร็จที่เหมาะสมที่สุดมันต้องมาในเวลาไหนระหว่าง
ยิ่งเด็กเท่าไหร่ยิ่งดี หรือ ควรมาตอนที่เราพร้อมมากที่สุดกันแน่?
เหล่านี้คือสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจังหวะชีวิตและเส้นทางของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขนาดพี่น้องฝาแฝดที่คลอดตามกันมาในไม่กี่วินาทียังชอบอะไรไม่เหมือนกันและโชคชะตาแตกต่างกันเลย แต่คนเราก็มักจะชอบใช้ความคาดหวังเป็นตัวผลักดันพลังบางอย่างในใจอยู่เสมอ
ไม่เพียงแค่นั้น เปรียบไปแล้วก็เหมือนบริษัทแห่งหนึ่งที่เมื่อมีพนักงานมาใหม่เข้ามาทำงาน ก็มักจะพบว่า คนเหล่านั้นมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ในช่วงแรก แน่นอนย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะเป็นที่รักของเจ้านายได้ในเวลาไม่นาน และก็มักจะถูกสนับสนุนอย่างรวดเร็ว จนหลายครั้ง ลืมมองไปว่าพนักงานเก่า ๆ ทั้งหลายก็ยังคงแสดงความเต็มที่อยู่เสมอ แต่กลับไม่มีใครรับรู้ได้เลย
นั่นจึงเป็นที่มาให้ความทุ่มเทที่บางคนเคยมีอยู่ กลับค่อยๆพร่องลงไปจนสุดท้ายหมดไฟในที่สุด และสุดท้ายบริษัทก็สูญเสียบุคลากรที่เก่งไปหนึ่งคน และคนเหล่านั้นก็สูญเสียความสามารถไปแบบไม่มีวันกลับมา
คนสำเร็จในโลกใบนี้หลายคนไม่ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่เด็กเสมอไป ในยุคหลังอาจจะใช่ แต่ถ้าพูดถึงในยุคก่อนก็มีจำนวนอีกไม่น้อยที่กว่าพวกเขาจะพบเส้นทางของชีวิตที่ลงตัว ต้องยอมเสียสละเวลาไปไม่รู้เท่าไหร่กว่าจะได้มา แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เขายังค้นหามันจนเจอ ก็เพราะว่าพวกเขาไม่เคยหยุดตามหายังไงล่ะ
ซามูเอล แอล. แจ็กสัน นักแสดงฮอลลีวูดมากฝีมือ ผู้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลายคนไม่ทราบว่าเขาเข้าวงการตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ แต่ในช่วงแรกยังไม่โด่งดังมาก จนกระทั่งภาพยนตร์ที่ทำให้ชื่อเสียงของเขากระฉ่อนไปทั่ววงการอย่าง Pulp Fiction ถือเป็นบันไดก้าวสำคัญในชีวิตของเขา
และที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คือมันมาในช่วงเวลาที่เขาอายุได้ 46 ปีแล้วกว่าที่เขาจะประสบความสำเร็จอย่างตั้งตัวไม่ทัน บางคนบอกว่าเขาแก่ไปแล้วในเวลานั้น แต่นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นให้อีกหลายบทบาทที่พาความสามารถของเขาเพิ่มสูงขึ้นจนถึงปัจจุบัน
หรือถ้านั่นยังไม่ชัดมากพอ อยากให้ลองรู้จักกับชายผู้เป็นตำนาน แม้ว่าเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ไม่มีคอหนังคนไหนไม่รู้จักเขาคนนี้ ยิ่งเป็นสาวกซูเปอร์ฮีโร่แล้วละก็ ชื่อของ ‘สแตน ลี’ คงเข้าไปอยู่ในความทรงจำของใครหลายคนไปแล้วไม่รู้ตัว
เจ้าของฉายา ‘บิดาแห่งมาร์เวล’ ก่อนที่เขาเป็นตำนานเฉกเช่นทุกวันนี้ ในวัยเด็กเขาคือชายผู้รักการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจ และเริ่มเข้าสู่วงการคอมมิคบุ๊คด้วยอายุเพียง 17 ปี จากนั้นก็เริ่มทำงานในสายที่ชื่นชอบเรื่อยมา ปีแล้วปีเล่าก็สั่งสมประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งถึงจุดที่เขาต้องพักบทบาทในการเขียนการ์ตูน เมื่อต้องไปเข้าร่วมแผนกสื่อสารของกองทัพในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทว่าก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด เวลาว่างเขาก็ฝึกฝนฝีมืออยู่เช่นเคยจนหลังสงครามจบลงเขาก็สานต่องานที่เขารักได้ทันที
ผลงานจากรังสรรค์จากเขามีมากมาย แต่ก็ยังไม่มีเรื่องไหนประสบความสำเร็จมากจนโดดเด่นขึ้นมา จากนั้นเขาก็หมั่นทำไปอย่างมุ่งมั่นและสนุกทุกครั้งที่ได้ลงมือทำ มันทำให้เขาไม่รู้สึกว่านานอีกต่อไป
และสิ่งที่เขารอคอยก็มาถึงเมื่อหนังสือการ์ตูนที่เขาได้ทำขึ้นมาประสบความสำเร็จสักที ส่งผลให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นกับหลายแวดวง และเป็นที่มาของตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลาย เพราะเขาคือผู้ให้กำเนิดทั้ง ฮัลค์ ,ธอร์ ,ไอรอนแมน และอีกสารพัดนับแต่นั้นมา โดยเวลานั้นเขาอายุได้ราวๆเกือบ 40 ปีทีเดียว
ถึงแม้ว่าสิ่งเขาทำมันจะมาในเวลาที่ดูจะนานไปเสียหน่อย แต่มันก็ไม่คุ้มที่จะเฝ้ารอ เพราะที่ผ่านมาเขาแทบไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ามันจะต้องโด่งดังไกลแค่ไหน แค่ได้ทำในสิ่งรักทุกวันก็เป็นความสำเร็จที่พบเจอได้ในทุกวันอยู่แล้ว
แล้วถึงใครจะว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทุกคนต้องเข้าใจร่วมกันก่อนที่จะพบหนทางความสำเร็จของตัวเอง คือ ไม่จำเป็นเลยว่าเราจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการพบกับปลายทางที่ต้องการ และไม่สำคัญเลยว่าคนรอบข้างเขาจะเจอมันก่อนหรือหลังเรา
ขอแค่แสดงความยินดีกับทุกคนอย่างใจจริง โดยที่ไม่ต้องไปเร่งรัดอะไรให้เหนื่อยเปล่า แม้ว่าในสังคมทุกคนพยายามจะวิ่งแข่งกันให้ถึงเส้นชัยมากเท่าไหร่ไม่สำคัญ ขอแค่เราเดินประคองตัวไปให้ถึงจุดหมายก็พอแล้ว เพราะจะช้าหรือเร็วความสำเร็จ…มันก็ไม่เคยทิ้งคนที่ตั้งใจไว้อยู่แล้ว
…
เรียบเรียงโดย: กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels