ชีวิตงาน ชีวิตลูกจ้าง ชีวิตหนี้
อะไรคือตัวการขโมยชีวิตคุณ
โลกสมัยใหม่ทําให้เราฝันถึงความสําเร็จในการทํางานชนิดที่สูงปรี้ดไว้ก่อน แต่ระหว่างทางไปสู่ความสําเร็จ เรารู้สึกว่ามันกําลังเครียดอยู่ไหม? ว่าเราเหนื่อยเสมอไหม? มันทำให้เราทํางานตอนกลางคืน แล้วต้องกินยาบํารุงในขณะที่กําลังจะเข้านอนไหม เหมือนกับว่าเรากําลังเป็นส่วนหนึ่งของงาน มากกว่างานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไหม จะหยุดพักก็กลัวว่าจะตกอันดับ แต่เมื่อทําต่อไปก็ตกอยู่ในวังวนเดิม ๆ เมื่อไหร่เราจะสามารถหาสิ่งที่เรียกว่าความสมดุลของงานได้ซะที – หรือว่านี่คือความหมายของชีวิตที่ต้องทนรับชะตากรรม และเรารู้สึกขาดแคลนเรื่องเวลาเสมอหรือไม่? ในอดีต พ่อแม่และปู่ย่าตายายของเรารู้สึกเหมือนกันไหม?
ข้อยืนยันก็คือ 10 ปีจาก 1986 ถึง 1996 สมดุลระหว่างการทํางาน – ชีวิต มีการกล่าวถึงในงานวิจัยเพียง 32 ครั้งเท่านั้น แต่ในปี 2007 ปีเดียว มีประเด็นวิจัยในเรื่องนี้ถึง 1,674 ชิ้นงาน
ปัญหาเรื่องการใช้ชีวิตและการทำงาน ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยชัดเจนยิ่งขึ้น : ตอนนี้ผู้คนทํางานหนักมากขึ้น
Harvard Business Review ได้สํารวจคนกว่า 15,000 คนที่มีเงินเดือนสูงสุดในอเมริกา (ซึ่งมีเพียง 6% ของมนุษย์งานทั้งหมด) ได้บทสรุปว่า 35% ของผู้ตอบงานวิจัยเชิงคุณภาพบอกว่าพวกเขาทํางานมากกว่า 60 ชั่วโมง / สัปดาห์ และอีก 10% ใช้เวลาทํางานมากกว่า 80 ชั่วโมง / สัปดาห์ นี่คือการอธิบายว่าทําไมหลายคนรู้สึกว่า “รวยเงิน จนเวลา”
แต่ที่น่าเศร้าคือ หลายต่อหลายคนที่ยังจนทั้งเรื่องเงินและเวลา
การศึกษาการวิจัยอีกชุดแสดงให้เห็นว่าในช่วงระหว่างปี 1976 จนถึงปี 2000 ความทะเยอทะยานและความคาดหวังของนักเรียนชั้นมัธยมปลายได้เพิ่มขึ้นอย่างไร้เหตุผล และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา เด็กรุ่นใหม่อยากรวยเร็ว แค่คํานวณเล็กน้อย ทำอะไรนิดหน่อยก็คาดหวังผลลัพธ์เป็นร้อยเท่า ชอบและอยากทำงานที่บอกว่าทำน้อยได้มาก ในที่สุดงานวิจัยได้พบว่า..กลุ่มคนที่คาดหวังกับฝันลม ๆ แล้ง ๆ นี้ในตอนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ล้มเหลว
Tyler Durden บอกว่า “เราทุกคนได้รับการเลี้ยงดูจากรายการทีวี จากโซเชียล และเชื่อว่าสักวันหนึ่งฉันจะเป็นเศรษฐี ฉันจะเป็นดาวร็อก แต่ความจริงแล้วเราส่วนใหญ่ก็ทําไม่ได้”
เกิดอะไรขึ้น?
ในยุคสมัยที่บรรทัดฐานความสําเร็จ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร้เหตุผล มาตรฐานนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากที่จะสําเร็จอีกต่อไป แต่มันไม่ใช่สำหรับทุกคน อินเทอร์เน็ตแสดงให้เห็นถึงภาพของมหาเศรษฐีที่มีอายุ 20 ปีใน Silicon Valley
คุณคิดว่าคุณเก่งอะไร?
บางคนในโลกออนไลน์บอกว่าคุณจะเก่งขึ้น คุณจะทําน้อยลงและมีความสุขมากขึ้น พวกเขามีฝันที่สวยงาม แต่ในข้อเท็จจริง เมื่อมองไปรอบ ๆ เราจะพบว่ามีเพียงไม่กี่ร้อยคนในคน 7,000 ล้านคนที่อยู่บนโลกนี้ที่ทำได้
เราอาจจะดีที่สุดในบางสิ่ง โดดเด่นในบางเรื่อง และเป็นคนที่มีคุณค่าต่อชุมชน แต่อะไรคือข้อเท็จจริงที่บอกว่าเราเป็นคนร้อยคนแรก ๆ ที่สามารถยกระดับบรรทัดฐานให้สูงขึ้น เพื่อตอบคำถามว่าเราอยู่ใกล้คนสำเร็จระดับโลกพวกนี้แค่ไหน
โลกสมัยใหม่ยังทําให้ทุกอย่างมีการแข่งขันมากขึ้น หมายถึงว่าถ้าคุณไม่โดดเด่นบริษัทก็จะไม่ร้องขอให้คุณมาร่วมงาน AI ทําให้สิ่งต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นและทำให้โลกนี้พึ่งพาศักยภาพมนุษย์น้อยลง จากเดิมต้องการแรงงานร้อย แต่เมื่อ AI เข้ามาแทนตลาดก็ต้องการแค่สิบ คำถามคืออีกเก้าสิบจะทำอะไรกิน
โลกแห่งความฝันยังเปล่งเสียงต่อไป “มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น” และเราก็เช่นกัน J. Walker Smith จาก Yankelovich Partners ร่วมกับ The Wall Street Journal กล่าวว่า “ในปัจจุบันไม่มีใครอยากเป็นชนชั้นกลาง ทุกคนอยากต่อปีกบินขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุด” เราอาจจะมีมากกว่าทุกอย่างเมื่อเทียบกับอดีต แต่ไม่ได้มีความสุขมากกว่า และในสัญชาตญาณเราก็ยังคิดว่าปัญหาสามารถแก้ไขได้ด้วย คำว่ามากกว่า เงินมากกว่า อาหารมากกว่า และคำว่าเพิ่มเติม เพิ่มเติมสิ่งต่าง ๆ ต้องการเพิ่มเติม เราไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเราต้องการอะไรมากกว่านี้ แต่ทุกอย่างที่เรามีไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุข ดังนั้นต้องเพิ่มทุกอย่าง
ปัญหาอยู่ที่ภารกิจค้นหา “สิ่งที่ทําให้ฉันมีความสุขคือสิ่งใด”
ความคาดหวังเหล่านั้นทําให้เราเข้าถึงเป้าหมายได้ยาก เพราะปัจจัยที่มาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่แย่ที่สุด โลกวันนี้ที่มันผิดพลาด มันล้วนเกิดจากความผิดพลาดของเรา หรืออย่างน้อยก็รู้สึกเช่นนั้น เรารักในตัวเลือกที่เราสามารถฝันและเชื่อในฝันอันยิ่งใหญ่ได้ ศตวรรษที่ 21 นี้ มันทําให้เราเกือบจะไม่มีที่สิ้นสุดในการเลือก ขอบคุณเทคโนโลยีที่ทำเราสามารถเลือกงานได้ ไม่มีประตูสํานักงานใดปิดเวลา 5 โมงเย็นอีกต่อไป ทุกวินาทีเราสามารถอยู่กับเพื่อนหรือเล่นกับลูก ๆ ได้ ทุกนาทีเราสามารถทํางานได้ เราอยู่ที่ไหนก็ได้ ทำงานจากที่ไหนก็ได้
เมื่อโลกไม่ได้ให้ทางเลือกกับคุณมากนักและทุกอย่างไม่ได้เป็นไปในแบบที่คุณต้องการนั่นคือความผิดพลาดของโลก คุณทําอะไรได้อีกบ้าง? แต่เมื่อคุณมีทางเลือก 100 ทาง คุณยังไม่สามารถเลือกทางของคุณได้ อะไรคือสิ่งที่เป็นปัญหากันแน่
ตัวเลือกที่มากเกินไปจะเพิ่มความน่าจะเป็นของความล้มเหลว เมื่องานเป็นตัวเลือก ทุกอย่างก็คือการแลกเปลี่ยน เวลาทํางานมากขึ้นหมายถึงเวลาส่วนตัวที่น้อยลง สุขภาพก็ไม่มีเวลาดู เพื่อนคู่ชีวิตและลูกก็ไม่มีเวลาให้ และหากคุณเลือกผิดนั่นคือความผิดของใครที่ทําให้การตัดสินใจสร้างความกดดันให้กับเรามากขึ้น เราทํางานหนักขึ้นแต่รู้สึกแย่ลงเพราะทุกอย่างวนเวียนอยู่นั่นแล้ว
การจะทําลายวังวนนี้เราต้องรู้จัก “เลือก” แทน “ทางเลือก” ความหมายคือการตัดสินใจในตัวเลือกที่มีอยู่ ที่ทําให้เราไม่ตกอยู่ในวิถีจอมปลอม
ใครมองเห็น คนนั้นตาสว่าง
ในทางตรงกันข้ามเมื่อเราเลือกทางของเรา
ถ้าไม่มีทางให้เราเลือก เราก็ต้องสร้างมันขึ้นมา
เราไม่สามารถเพิ่ม 2 สิ่งที่ตรงข้ามกันได้
เรามีเวลาเพียง 24 ชั่วโมง / วันเท่านั้น
ด้วยพลังงานที่จํากัด หลายเป้าหมายที่เราหวัง
เราต้องยอมรับในข้อจํากัด ว่าเราไม่สามารถทําทุกอย่างและประสบความสําเร็จในทุก ๆ ด้านได้
ความสมดุลของงาน – ชีวิตไม่ใช่แค่สิ่งที่เราต้องการ
ความสมดุลของการทํางาน – ชีวิตที่เราต้องการ – อะไรคือความจริงที่เราทำได้ตามความสามารถ
“แค่พอ” แค่ลบขั้วความอยากที่มากเกินไป
ผลที่ตามมาทั้งหมดจะนําไปสู่ระดับ “แค่พอ” ที่เรากำหนดเอง
บทความโดย: กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels