คิดว่าเราจำเป็นต้องรู้เรื่องราวในแวดวงเทคโนโลยีมากแค่ไหน?
สังเกตง่ายๆจากสิ่งที่ทุกคนพกติดตัวไปด้วยแทบจะทุกที่ตลอดเวลา หรือแม้แต่ทันทีที่คุณกำลังอ่านตัวหนังสือบรรทัดนี้อยู่ นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องรู้เรื่องราวเหล่านี้
เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวันรอบตัวเราเต็มไปหมด จนพูดได้เต็มปากว่าในยุคสมัยนี้เทคโนโลยีการสื่อสารทุกช่องทาง เป็นตัวกำหนดว่าโลกจะขับเคลื่อนไปทางไหนต่อ
ถึงแม้จะกำลังบอกว่าสิ่งนี้มีผลกับชีวิตประจำวัน แต่ถ้าลองให้ทุกคนตัดเกรดตัวเองว่าในตอนนี้ว่าเรารู้เรื่องราวของวงการนี้มากแค่ไหน ทุกคนจะให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่กันบ้าง?
มั่นใจได้เลยว่าเกินกว่าครึ่ง ต้องตัดทอนให้ในทิศทางที่ค่อนไปทางต่ำ เพราะด้วยความที่มีอะไรใหม่เกิดขึ้นทุกวัน ทุกอย่างรวดเร็วไปเสียหมด จะให้ตามทันตลอดก็คงจะไม่ไหว
และนี่คือหัวข้อที่เรากำลังจะมาคุยกันในตอนนี้…
ถ้าสิ่งที่กล่าวมาคือสิ่งที่ขาดหายไปจากสังคม จำเป็นอย่างยิ่งต้องมีพื้นที่เพื่อให้ความรู้ในด้านนี้ แต่จะมาเล่าเรื่องเฉยๆก็ดูจะขาดเสน่ห์ หรือสีสันบางอย่าง ความแตกต่างคือสิ่งที่ต้องเติม
สารภาพตามตรงว่าในขณะที่กำลังเขียนเรื่องไอทีอยู่นั้น ในหัวไม่สามารถนึกชื่อคนอื่นได้เลย นอกไปเสียจาก “แบไต๋” น่าแปลกใจเหมือนกัน เพราะก็มีคนอื่นอีกมากมายที่ให้นึกถึง
จะว่าไปก็คงไม่ผิดอะไร เพราะนี่คือชื่อแรกๆที่ต้องเข้ามาในสมอง แล้วอะไรทำให้ชื่อของ “แบไต๋” เป็นที่จดจำของหลายคน จนกลายเป็นสื่อหัวแถวในด้านไอทีไปโดยปริยาย
ความเป็นสื่อในด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ คือนิยามที่บ่งบอกความเป็นแบไต๋ได้ดีที่สุด และเมื่อพูดถึงแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดถึงผู้ชายที่ชื่อ “หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์”
เขาคนนี้คือผู้ปลุกปั้นให้แบไต๋เติบโต ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นสื่อระดับแถวหน้าในด้านข่าวสารเทคโนโลยี จนได้รับฉายาว่าเป็น “เจ้าชายแห่งไอที” ไปครองในที่สุด
การนำเรื่องราวสายไอทีมาย่อยและสรุปอย่างเข้าใจง่าย เปลี่ยนให้คนทั่วไปกลายเป็นกูรูมานักต่อนัก ก่อร่างสร้างตัวจากความล้มเหลวสู่ Ceo บริษัทที่น่าทำงานที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ
พร้อมกับเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องของเทคโนโลยีให้เข้าใกล้ทุกคนมากขึ้น และกำลังบอกสังคมว่านี่คือความสนุกครั้งใหม่ของชีวิต บางครั้งการเปิดรับเรื่องราวใหม่ๆก็จะทำให้ได้เปิดมุมมอง
บางทีอาจถึงเวลาที่เราทุกคนจะต้องหมุนตามโลกให้ทัน แล้วจะรู้ว่าโลกที่อยู่มีอะไรน่าตื่นเต้นรอวันเปล่งแสงมหาศาล
หนึ่งสิ่งที่แบไต๋ยึดถือในการทำงานมาตลอดคือการทุ่มเต็มที่ในทุกรายละเอียด ทั้งคอนเทนต์ และที่สำคัญคือกลุ่มเป้าหมาย อาจเคยมีคนบอกว่าถ้าจะทำอะไรให้ทำในบริเวณที่เป้าหมายอยู่กันเยอะ เพื่อที่จะได้ผลลัพธ์ที่มากตามไปด้วย
นั่นคือในทางสถิติอาจจะใช่ แต่สำหรับการทำงานจริง ตัวเลขก็ไม่ต้องไปยึดติดมาก ว่าคนจะดูเยอะไหม กดไลก์มากหรือเปล่า แค่ตั้งใจและโฟกัสไปที่เป้าหมายอย่างตรงประเด็นก็พอ
เพราะถ้าคิดจะทำหว่านไปเพื่อต้องการให้เข้าถึงคนได้มาก ก็จะต้องเอาใจคนหลายกลุ่ม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าทุกคนจะชอบในสิ่งที่สื่อสารออกไป ดังนั้นแค่รู้จักเป้าหมายและรักษาพวกเขาไว้อย่างเหนียวแน่น เท่านี้ก็มากพอจะทำให้ความสำเร็จเริ่มชัดขึ้น
เรื่องราวของเทคโนโลยีไม่ได้ถูกจำกัดแค่คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ ยังมีทั้งรถยนต์ อุปกรณ์อีกมากมาย ยิ่งหลากหลายเท่าไหร่คนก็ยิ่งเข้ามาดู เพื่อจะได้ความรู้ที่รอบด้านกว่าที่เคย
ยอดผู้คนที่เข้ามาเห็นคอนเทนต์ก็มักจะสลับสับเปลี่ยนกันไปตามความสนใจ ก็ทำให้อุตสาหกรรมออนไลน์มีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนสู่การพัฒนาคอนเทนต์อยู่เสมอตลอดเวลา
นอกจากแฟนเพจแล้ว ยังมีช่องยูทูปให้ติดตาม คอนเทนต์ก็มีทุกรูปแบบ โพสต์ ,คลิป ,ข่าวสาร และกิจกรรมอีกเพียบ สมกับกับเป็นมืออาชีพในด้านคอนเทนต์จริงๆ
อาจเป็นกรณีศึกษาให้กับหลายช่องที่กำลังจะดำเนินรอยตาม นอกจากคุณภาพที่คงต้องมี สำคัญกว่าคือการบริหาร นับจากวันแรกจนถึงวันนี้ขนาดขององค์กรก็เติบโตตามกาลเวลา
จุดที่น่าศึกษาอีกอย่างคือการกำหนดธีมและองค์ประกอบหลายอย่างของแบรนด์ จะพูดว่าเป็นแค่เพจหรือช่องยูทูปก็คงจะเล็กไปแล้ว เพราะนี่คือบริษัทที่มีความมั่นคงค่อนข้างสูง
พูดถึงในเรื่องของธีม จริงอยู่ความเป็นไอทีอาจจะต้องมีอะไรที่ดูล้ำหน้าเข้ากับยุคสมัย สิ่งที่ยากกว่าคือนำศัพท์เฉพาะในวงการให้ถูกใช้อย่างแพร่หลายและเป็นที่เข้าใจไปในทางเดียวกัน
ด้วยทักษะที่เคยอยู่ในวงการสื่อมาอยู่แล้ว ทำให้รู้และเลือกที่จะนำเสนอออกมาในแบบที่คนทั่วไปฟังก็ยังเข้าใจ อย่างเช่น ถ้ามีการเปิดตัวของโทรศัพท์รุ่นใหม่ จะแนะนำฟีเจอร์ทั้งหมดก็ธรรมดาไป อาจต้องใส่เกร็ดเล็กน้อยเพื่อสร้างให้ดูมีเรื่องราว
อีกเรื่องที่สำคัญคืออัตลักษณ์ หรือ Corporate Identity ทุกอย่างมาจากการวางแผนคิดมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสีพื้นหลัง รูปแบบกราฟฟิก แม้แต่ฟอนต์เอง ก็ได้ออกแบบอย่างดี
การใส่ใจในรายละเอียดต่างๆเหล่านี้ทำให้ภาพจำของแบรนด์ง่ายขึ้น เมื่อโพสต์ไปบ่อยๆก็จะทำให้กลายเป็นที่จดจำ จนถึงขนาดที่ว่าต่อให้เอาโลโก้ออกก็รู้ว่านี่คืองานของ “แบไต๋”
เมื่อมีผู้ติตตามหลักล้านคนแบบนี้ จำเป็นต้องใช้การลงคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะเก็บเกี่ยวคนดูจำนวนนี้ไม่ให้หายไป
การโพสต์ 6-8 โพสต์หรือมากกว่าในบางวันของแบไต๋ ยิ่งตอกย้ำว่านี่คือการรักษามาตรฐาน การจะเป็นชื่อแรกที่คนนึกถึงในวงการนั้น ต้องยืนระยะให้อยู่โดยที่ไม่มีการลดคุณภาพเด็ดขาด
ตรงนี้เองที่ทำให้เหล่าสปอนเซอร์ ผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลาย ต่างจับจ้องกันตาเป็นมัน ทำให้อาณาจักรของแบไต๋เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ได้รับความเชื่อใจอย่างต่อเนื่องพร้อมกัน
รายได้ก็เข้ามาตลอด ไม่ได้มาจากโชคช่วยหรือคอนเนคชั่นเสมอไป อาจมาจากคุณภาพที่ไม่เคยลด และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย เข้าใจออนไลน์แบบในทุกวันนี้
ทีนี้ต้องมาลุ้นกันว่าโปรเจ็คต่อไปของแบไต๋จะมีอะไรออกมาให้สนใจกันอีก ตราบใดที่โลกไม่หยุดหมุน พวกเขาก็คงเดินหน้าสร้างโอกาสที่มีอย่างคุ้มค่าต่อไปแน่นอน
มาถึงตรงนี้อาจเปลี่ยนใจใครหลายคนให้เริ่มสนใจเรื่องราวในวงการเทคโนโลยีมากขึ้น ส่วนใครที่ยังมองว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ใช้ความรู้ทางด้านนี้ ถ้าคุณยังใช้การสื่อสารอยู่ สักวันจะได้ใช้มันแน่ อย่างน้อยก็กับคนที่บ้านก็ยังดี
ทุกอย่างยากในการเริ่มต้นเสมอ แต่จะสนุกในตอนเรียนรู้ และท้ายที่สุดก็จะปิดไปด้วยความสะดวกสบาย
ถ้าอยากสัมผัสความรู้สึกเหล่านี้ละก็ เห็นทีต้องออกจากกรอบเดิม สะสมความรู้ไปพร้อมกัน และนับถอยหลังรอดูวันที่โลกใบนี้เปลี่ยนไปได้เลย รับรองว่าอีกไม่นาน..
…
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: Pexel