คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า เจฟฟ์ เบโซส์, อีลอน มัสก์, คิม คาร์เดเชียน, ไมเคิล จอร์แดน, แจ็ก หม่า และผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายบนโลกนี้ แต่ละวันเขาคิดอะไรอยู่ในหัว
เขาคิดอะไรถึงประสบความสำเร็จได้อย่างนี้
เขาเอาแต่คำนวณเงินหรือผลกำไรรึเปล่า เขาเอาแต่หมกมุ่นกับการทำงานอย่างหนักหน่วงใช่ไหม หรือเขามัวแต่คุยกับคู่ค้าทางธุรกิจอยู่
นั่นย่อมเป็นส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “วิธีคิด” ของพวกเขาต่างหาก
เรามารู้จักกับ “วิธีคิด” ของคนที่ประสบความสำเร็จกันดีกว่า เขาคิดอย่างไร มีกฎหรือเคล็ดลับไหนที่เขาทำตามกันบ้าง เชื่อว่าคุณจะสามารถนำไปใช้ได้อย่างแน่นอน
1. กฎ10-10-10 : คิดแบบระยะสั้นและระยะยาว
“กฎ 10-10-10” เป็นกฎที่ใช้เพื่อประเมินผลกระทบของพฤติกรรมปัจจุบันที่จะส่งผลต่ออนาคตด้วยคำถามง่าย ๆ ดังนี้
– ถ้าคุณตัดสินใจแบบนี้ คุณจะรู้สึกอย่างไรในอีก 10 นาทีข้างหน้า?
– แล้วอีก 10 เดือนต่อจากนี้ล่ะ?
– แล้วอีก 10 ปีจะเป็นอย่างไร?
กฎ 10-10-10 จะช่วยให้คุณคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับปัญหาได้ดียิ่งขึ้น แม้ว่าบางสิ่งบางอย่างที่คุณตัดสินใจทำจะทำให้คุณลำบากในตอนนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณจะรู้เองว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
เป็นเรื่องง่ายมากที่คุณจะตัดสินใจในระยะสั้น ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์กับคุณใน 10 นาทีหรือ 10 เดือนเท่านั้น แต่การตัดสินใจแบบนี้มักจะไม่เป็นประโยชน์ต่อเราในระยะยาว ดังนั้น ส่วนที่ยากที่สุดในกฎนี้ก็คือ บางสิ่งบางอย่างที่คุณตัดสินใจลงไปในตอนนี้อาจสร้างความลำบากให้คุณ แต่มันจะส่งผลดีต่อชีวิตของคุณในวันข้างหน้า
“อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” ย่อมดีกว่า
2. ตามหาแฟนพันธุ์แท้
“แฟนพันธุ์แท้ คือ คนที่เต็มใจที่จะซื้อทุกอย่างที่คุณขาย พวกเขาอาจจะเดินทางถึง 200 ไมล์เพื่อมาฟังเสียงของคุณ พวกเขาอาจจะซื้ออัลบั้มที่เพิ่งออกใหม่ของคุณที่มีความละเอียดของเสียงสูงเป็นพิเศษ พวกเขายังใช้บริการ Google Alert ที่ช่วยให้ได้รับข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับตัวคุณ พวกเขาเป็นแฟนพันธุ์แท้ของคุณอย่างแท้จริง” เควิน เคลลี (Kevin Kelly) อดีตวิศวกรด้านเทคโนโลยีและบรรณาธิการบริหารนิตยสาร Wired กล่าว
เทคโนโลยีสมัยใหม่และโซเชียลมีเดียช่วยให้เราสามารถสร้างฐานแฟนคลับตัวจริงเสียงจริงของเราเองได้ แทนที่จะคุณจะเขียนคอนเทนต์ ขายสินค้า หรือแสดงความคิดเห็นเพื่อเอาใจคนส่วนใหญ่ คุณควรทำสิ่งที่ดีกว่านั้นด้วยการสร้างความแปลกใหม่และสร้างคุณค่าให้คุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น
ในทำนองเดียวกัน แทนที่จะพยายามดึงดูดลูกค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณเพียงแค่ต้อง “โปรโมต” ทำให้สินค้าและบริการของคุณโดดเด่นที่สุดและพิเศษที่สุดเพื่อค้นหา “แฟนพันธุ์แท้” ของคุณ แฟนพันธุ์แท้คือลูกค้าที่ยินดีจะจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าของคุณ แฟนพันธุ์แท้ของคุณจะช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวหน้าและประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
3. กฎของพาเรโต: ทำงานน้อยลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“กฎของพาเรโต” (Pareto’s Law) ถูกคิดค้นโดย วิลเฟรโด พาเรโต (Vilfredo Pareto) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลี เขาได้กล่าวไว้ว่า 80% ของความร่ำรวยจะถูกครอบครองโดย 20% ของประชากร กฎนี้ค่อย ๆ ถูกนำไปปรับใช้กับสาขาอื่น ๆ
ตัวอย่างเช่น ในทางเศรษฐศาสตร์ 80% ของต้นทุนมาจากทรัพยากร 20% กำไร 80% มาจากลูกค้า 20% หรือในเชิงจิตวิทยา ความสุข 80% มาจากคนรอบข้าง 20%
ในทำนองเดียวกัน 80% ของงานที่คุณทำเสร็จจะใช้เวลาและความพยายามของคุณเพียง 20% เท่านั้น ดังนั้น คุณต้องทำให้ตัวเองเป็นคนที่มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น แทนที่จะงานยุ่งหรือทุ่มเทเวลาให้กับงานมากเกินไปจนไม่ได้ผลลัพธ์ออกมาจริง ๆ คุณควรทำงานให้น้อยลง แต่เน้นไปที่ประสิทธิภาพในการทำงานและคุณภาพของงานจะดีกว่า
4. ทฤษฎีลดความเสียใจ(Regret Minimization Framework)
เมื่อเจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos) ได้เดินทางมาถึงทางแยกของชีวิต เขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์การเลือกงานประจำที่มั่นคงที่ Hedge Fund บริษัทกองทุนชื่อดังระดับโลกที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง หรือลาออกเพื่อสร้างอาณาจักร Amazon ของเขาเอง ด้วยสถานการณ์ที่ตัดสินใจไม่ถูกเช่นนี้ เขาจึงได้นำทฤษฎี “ลดความเสียใจ” มาใช้
“ทฤษฎีลดความเสียใจ” เป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการทำอย่างไรจึงจะลดโอกาสที่จะมานั่งเสียใจภายหลังให้ได้มากที่สุด ตอนตัดสินใจลาออก เจฟฟ์จึงคิดว่า ถ้าเขาไม่ลาออกมาทำ Amazon อย่างที่ฝันเอาไว้ เขาคงจะเสียใจมากกว่าการได้ลองทำแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น เพื่อ “ลดโอกาสที่จะมานั่งเสียใจภายหลัง” เจฟฟ์จึงตัดสินใจลาออกจาก Hedge Fund
“ทฤษฎีลดความเสียใจ” ของ เจฟฟ์ เบโซส์ สามารถใช้ได้กับทุกคนที่ต้องการใช้ชีวิตและทำให้การงานเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเอง
5. จัดสรรเวลา
ดไวต์ ไอเซ่นฮาวร์ (Dwight Eisenhower) ประธานาธิบดีคนที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการมีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเองและการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ทำสิ่งที่สำคัญ ๆ หลายอย่างให้กับอเมริกา
เช่น การก่อสร้างระบบทางหลวงระหว่างรัฐในปี ค.ศ. 1956 การร่างกฎหมายแพ่งในปี ค.ศ. 1960 เพื่อให้ความยุ่งยากในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของคนผิวสีลดลง หรือการยุติสงครามเกาหลี (ค.ศ. 1950-1953) เป็นต้น
ความสำเร็จในการเป็นประธานาธิบดีของดไวต์ ไอเซ่นฮาวร์มาจากวิธีการบริหารจัดการเวลา ทักษะในการตัดสินใจ และการจัดลำดับความสำคัญแบบ “เมทริกซ์ของไอเซนฮาวร์”
ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องทำงานหรือต้องตัดสินใจ เขาจะจัดประเภทของงานออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ งานด่วนและสำคัญ (สิ่งที่ต้องทำทันที), งานสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน (ทำทีหลัง), งานด่วนแต่ไม่สำคัญ (มอบหมายให้คนอื่นไปทำ) และ งานไม่เร่งด่วนและไม่สำคัญ (งานที่ไม่ต้องทำ)
นอกจากนี้ สตีเฟน โควีย์ (Stephen Covey) ผู้เขียนหนังสือขายดี “7 Habits of Highly Effective People” หรือ “อุปนิสัย 7 ประการของผู้ประสบความสำเร็จ” ได้กล่าวเอาไว้ว่า เราควรใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับ “งานที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน” มากที่สุด
6. กฎของพาร์กินสัน: ประหยัดเวลา
แม้คุณจะจัดสรรเวลาได้ดีสักแค่ไหน งานก็จะเพิ่มมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ “กฎของพาร์กินสัน” ช่วยคุณได้!
กฎของพาร์กินสัน กล่าวไว้ว่า ถ้าคุณใช้เวลา 3 ชั่วโมงไปกับงานที่ควรจะใช้เวลาทำเพียง 1 ชั่วโมง คุณก็จะผัดวันประกันพรุ่งทันที คุณจะใช้เวลา 3 ชั่วโมง งานจึงจะเสร็จโดยอัตโนมัติ ดังนั้น เพื่อให้ตัวเองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณต้องเข้มงวดกับเวลาในการทำงานของคุณ แทนที่จะให้เวลาตัวเอง 1 สัปดาห์เพื่อทำงานให้เสร็จทั้งหมด ให้แบ่งเป็นส่วนย่อย ๆ และกำหนดเดดไลน์ของแต่ละส่วน
7. ตั้งใจเพิ่มขีดความสามารถของตนเอง
คนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่นักกีฬาที่มีชื่อเสียงไปจนถึงเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ คือคนที่รู้วิธีส่งเสริมความสามารถและจุดแข็งของตนเอง คุณต้องค้นหาว่าความถนัดของคุณคืออะไร ถ้าคุณเอาแต่เป็นลูกน้องคนอื่น คุณก็จะไม่มีวันประสบความสำเร็จได้เลย คุณต้องค้นหาจุดที่คุณได้เปรียบมากที่สุดและควบคุมทุกอย่างด้วยความสามารถของคุณเอง
นอกจาก 7 วิธีคิดที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ความสำเร็จยังมาจากการทำงานหนักและความอุตสาหะอีกด้วย ดังนั้น เพื่อที่จะพัฒนาขีดความสามารถของคุณและประสบความสำเร็จได้นั้น คุณต้องพากเพียรอย่างสม่ำเสมอ มีความมุ่งมั่น เข้มแข็ง มีเป้าหมายที่ชัดเจน
และอย่ากลัวที่จะพูดว่า “ฉันไม่รู้” เพราะถ้าคุณกลัวที่จะพูดคำคำนี้ออกมา ก็เท่ากับว่าคุณกำลังตัดโอกาสประสบความสำเร็จของคุณอยู่ จงเป็น “น้ำครึ่งแก้ว” เพื่อเตรียมพร้อมรับความรู้ใหม่ ๆ ให้มากขึ้น
อ้างอิง: Doanhnhansaigon
https://www.facebook.com/hbr.edu.vn/photos/a.188981365023587/950475778874138/
. . .
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
แปลและเรียบเรียงโดย: ปิ่นแก้ว ศิริวัฒน์
กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels และ freepik