หากคุณกำลังมีความคิดที่จะสร้างแบรนด์ขายสินค้าหรือบริการอะไรสักอย่างแล้วล่ะก็ เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่คุณต้องวางแผน เริ่มต้นศึกษาเก็บข้อมูลเรื่องการตลาด ไม่ว่าจะเป็นความต้องการ เรื่องไหนกำลังติดเทรนด์ สิ่งไหนกำลังเป็นที่นิยมในตลาดบ้าง ทำเลที่ตั้งส่วนใดเหมาะจะใช้เป็นสถานที่สำหรับสินค้าหรือบริการ ที่ต้องดูให้เหมาะทั้งต่อตัวคุณเองและต้องทำให้เหล่าผู้บริโภคไม่รู้สึกถึงความไม่สบายใจบางอย่างเมื่อเข้าไปซื้อสินค้าหรือบริการของคุณด้วย (อย่างเช่นเรื่องที่จอดรถ) และการศึกษากลุ่มเป้าหมายสำหรับสินค้าหรือบริการของคุณ เพื่อเอาข้อมูลต่างๆ ที่ได้นั้นมาสร้างความแตกต่าง หาความเป็นเอกลักษณ์ให้กับตัวเอง
ที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นข้อมูลระดับพื้นฐานที่ทุกคนต้องทำและต้องมี แต่แค่นั้นมันยังไม่พอใช้สำหรับในยุคนี้แล้ว ข้อมูลระดับพื้นฐานสำหรับคนทำแบรนด์ขายสินค้าหรือให้บริการที่ควรมีในทุกวันนี้มันต้องมาพร้อมกับการศึกษาให้เข้าใจพฤติกรรมเชิงลึกของผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายของคุณด้วย เชิงลึกที่หมายความว่าคุณต้องศึกษาและเข้าใจไปถึงระดับจิตใจของพวกเขานั่นเอง
จากจั่วหัวข้อ บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านที่ในอนาคตจะกลายเป็นผู้สร้างแบรนด์ขายสินค้าหรือให้บริการที่ประสบความสำเร็จ ไปเรียนรู้แนวทางทำความเข้าใจในเรื่องของการตลาดที่อาศัยหลักจิตวิทยาเข้ามาทำงานควบคู่เพื่อดันแบรนด์ของคุณให้เข้าใกล้กับคำว่าสำเร็จได้ง่ายขึ้น เพียงแต่คุณต้องสร้างความแตกต่างและหาความเป็นตัวตนของตัวเองให้เจอจากการใช้จิตวิทยาเบื้องต้น 5 หลักการ
1. Cognitivve Fluency นักจิตวิทยาผู้บริโภคและนักเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมได้ทำการสำรวจและค้นพบว่าการเสนอขายสินค้าหรือบริการรูปแบบง่ายๆ ไม่ว่าจะด้วยเครื่องมือรูปแบบอะนาล็อกหรือดิจิทัลก็ตาม จะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงสิ่งที่คุณพยายามสื่อสารออกไปได้ดีกว่าการสื่อสารที่จริงจัง หรือให้ข้อมูลที่ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ อย่างเช่นการที่คุณพยายามใช้ศัพท์เฉพาะ ภาษาทางการเพราะจะทำให้แบรนด์ดูมีระดับหรือดูมีความเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่อาจจะสร้างความเข้าใจยากให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคและเป็นการสร้างกำแพงบางอย่างระหว่างคุณกับผู้บริโภคได้ เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะไม่สนใจแบรนด์คุณอีกเลย ดังนั้นพยายามสื่อสารออกไปแบบตรงๆ ง่ายๆ พอรู้สึกได้ถึงความง่าย พวกเขาก็สะดวกใจที่จะให้ความสนใจและอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณมากขึ้นไปด้วย
2. Anchoring and the Exposure Effect เริ่มต้นจากหลักการ Anchoring ที่เป็นการปลูกฝังยัดเยียดแนวความคิดหรือข้อมูลใส่เข้าไปในหัวของผู้บริโภค แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเรื่องที่ตรงหรืออยู่ในความสนใจของพวกเขาเป็นทุนเดินอยู่แล้ว (ซึ่งตรงนี้อาจจะต้องเริ่มจากการเก็บข้อมูลเรื่องกลุ่มเป้าหมายของคุณก่อน) จากนั้นจะใช้หลักการที่ 2 Exposure Effect คือพยายามฝังแนวคิดหรือข้อมูลใส่หัวกลุ่มเป้าหมายของคุณไปทีละเล็กทีละน้อยแบบเนียนๆ เพื่อให้ข้อมูลเหล่านั้นอยู่ในสายตาของพวกเขาบ่อยๆ จนเกิดเป็นภาพจดจำไปเอง กล่าวคือหมั่นพยายามกระตุ้นแบรนด์ด้วยการทำ Content โปรโมต และอัปเดตบ่อยๆ พอลูกค้าเห็นหลายๆ ครั้งก็จะเกิดความรู้สึกสนใจตามมา เช่น หมั่นโพสต์เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณลงบนบล็อกหรือสื่อออนไลน์ต่างๆ อย่างการโพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพหรือวิดิโอลง Facebook หรือ Instagram ของแบรนด์คุณบ่อยๆ
3. Anti-iference Bias หลักการนี้จะแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ส่วนใหญ่มักจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้เห็นด้วยตัวเองมากกว่าที่จะได้ฟังเรื่องราวบอกต่อจากคนอื่น ดังนั้นการที่ให้ผู้บริโภคมีสิทธิ์ที่จะได้เห็นหรือแม้กระทั่งทดลองใช้สินค้าหรือบริการเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้แบรนด์ของคุณเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างสบาย
4. Social Proof เป็นหลักการที่ถูกพูดถึงที่สุดในยุคนี้ ซึ่งหลักการนี้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นกับแบรนด์ของคุณ นั่นคือให้กลุ่มคนหรือเหล่าผู้บริโภคทั้งหลายช่วยโดยการไปโน้มน้าวสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นกับแบรนด์คุณ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม และการที่จะอยู่ในสังคมให้รอดและสะดวกสบาย ไร้ปัญหาก็คือการเดินไปตามเกมของสังคม มีคนไปโน้มน้าวคนอีกคนว่ากระเป๋าแบรนด์นี้ดี อาหารร้านนี้รสเลิศ หรือเรียกง่ายๆ ว่าการรีวิวนั่นเอง ซึ่งส่วนนี้จะเป็นคนทั่วไปก็ได้ (เพื่อนบอกต่อเพื่อน) หรือถ้าเป็นเหล่า Influencer ก็ดี เพราะฐานผู้ติดตามของพวกเขาจะช่วยให้แบรนด์คุณเป็นที่น่าจับตามองมากขึ้น
5. Endowment Effect หลักการนี้มีไว้สำหรับการกักรักษาผู้บริโภคให้อยู่กับคุณไปนานๆ ต้องให้เป็นที่รู้และเข้าใจกันก่อนว่าเหล่าผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะให้ความสำคัญ ให้คุณค่า และยึดติดกับสิ่งที่ได้มามากกว่ามูลค่าของสิ่งๆ นั้น ง่ายๆ ก็คือมีผู้บริโภคหลายคนไม่ได้ให้ความสนใจหรือความสำคัญของราคากับของสิ่งนั้นมากเท่าไหร่ แต่พวกเขาจะให้ความสนใจกับมันเพราะความรู้สึกถึงความพิเศษ ความมีคุณค่ากับของสิ่งนั้น ซึ่งส่วนหนึ่งคือความมีคุณค่าที่อยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว และอีกส่วนหนึ่งคือตัว คุณที่เป็นเจ้าของแบรนด์ ขายสินค้าหรือบริการ คุณก็มีส่วนทำให้เกิดคุณค่ากับของสิ่งนั้นได้เช่นกัน แม้ว่าคุณภาพของมันจะส่วนทางกับราคา ไม่ว่าจะถูกหรือแพงก็ตาม หากคุณทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความมีคุณค่าของมันได้ นั่นก็จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกพิเศษ รับรู้ถึงความใส่ใจของคุณ ซึ่งนั่นจะทำให้พวกเขาเกิดความมั่นใจและไว้ใจในแบรนด์ของคุณ อยากเข้าไปหาเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการกับคุณต่อไป
หลักการที่ว่ามาทั้งหมดนั้น คุณทุกคนสามารถนำไปปรับใช้กับแบรนด์ของคุณได้ทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า แน่นอนว่าการมีหลักการเข้ามาช่วยจะทำให้คุณวางแผนและจัดการอะไรๆ ได้ง่ายมากขึ้น คำว่า “ประสบความสำเร็จ” อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมคุณแล้ว…
คุณพร้อมจะคว้ามันหรือยัง?
.
เรียบเรียงโดย: ฐานิต
กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels และ เว็บไซต์ freepik