เวลาที่ขับรถผ่านอาคารสำนักงานใหญ่ ๆ ในเมืองเคยคิดเล่น ๆ ไหมว่าเจ้าของตึกจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหน?
เมื่อเป็นอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องตามมาก็คือค่าใช้จ่ายและภาระในการบำรุงดูแลรักษาที่มากกว่าอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภคหรือการทำประกันวินาศภัย ถ้าเปรียบเทียบกับคอนโดมิเนียมที่มีขนาดใกล้แล้วยังพอเข้าใจได้ว่ามีการเก็บค่าบำรุงส่วนกลางจากลูกบ้านและผู้พักอาศัยอย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าเป็นอาคารสำนักงานล่ะจะเก็บจากใคร?
อันดับแรกต้องกลับมาทำความเข้าใจก่อนว่าภายในอุตสาหกรรมด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่กว้างขวางนั้นไม่ได้มีแค่การสร้างบ้านขายหรือการทำธุรกิจซื้อขายคอนโดเท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน โรงแรม หรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้าก็ยังอยู่ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เช่นเดียวกัน
โดยทั่วไปแล้วอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในรูปแบบของสิ่งปลูกสร้างจะถูกจำแนกออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
อสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย
อสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ก็อย่างที่หลายคนรู้จัก ทั้งในรูปแบบของบ้าน คอนโดมิเนียม หรือห้องแถวทาวน์เฮาส์ ไม่ว่าจะเพื่ออยู่เองหรือเพื่อการลงทุน จุดประสงค์หลักก็คงไม่พ้นการเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้คนที่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดทั้งในเรื่องของความปลอดภัยและความสะดวกสบายของคนที่จะเข้าไปอยู่ในนั้น สำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยนั้นหากนักลงทุนสนใจที่จะเข้ามาสร้างกำไรและผลตอบแทนก็สามารถทำได้ทั้งในรูปแบบการขายขาดกรรมสิทธิ์และการปล่อยเช่ากินกำไรในระยะยาว
อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์
สำหรับอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบนี้จะอยู่ภายใต้การดำเนินงานในรูปแบบของธุรกิจเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น การปล่อยพื้นที่เช่าเป็นคูหาภายในห้างสรรพสินค้า รวมไปถึงโรงแรมที่ทำเป็นธุรกิจบริการห้องพัก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ที่ทุกคนเห็นกัน ถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้วคงไม่มีใครสร้างตึกสูงมาเพื่อทำธุรกิจของตนเองเพียงเจ้าเดียวแต่จะเปิดให้องค์กรภายนอกเข้ามาจับจองพื้นที่เช่าได้เป็นชั้น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าการเช่าเชิงพาณิชย์เหล่านี้กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของเจ้าของทรัพย์สินโดยจะมีการกินผลตอบแทนที่มาจากทั้งค่าเช่ารายเดือนและรายปีภายใต้สัญญาที่กำหนดขึ้นร่วมกันทั้งสองฝ่ายคือผู้เช่าและผู้ให้เช่า
อาจจะด้วยความเสี่ยงที่ต้องแบกรับมากกว่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ และประกันภัยต่าง ๆ ทำให้อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์นั้นมีแต่ผู้พัฒนาหรือบริษัทใหญ่ ๆ ที่เข้าไปลงทุนมากกว่า อย่างที่หลายคนรู้จักก็ได้แก่ กลุ่มบริษัทเครือเซ็นทรัลพัฒนา ห้างสรรพสินค้าในเครือสยามพิวรรธน์ หรือแม้แต่ตึกอาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งต่างก็เปิดพื้นที่ที่ควรจะว่างเปล่าให้สร้างผลตอบแทนด้วยการปล่อยเป็นพื้นที่เช่าแทน
คลิกที่รูปภาพเพื่อสั่งซื้อหนังสือ
3 ข้อได้เปรียบจากการลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์
1. ไม่มีขอบเขตของประเภทธุรกิจ
ข้อได้เปรียบอย่างแรกของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ก็คือความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจของนักลงทุนคนอื่น ๆ ภายในอาคารสำนักงานเดียวกัน ในหนึ่งชั้นที่ทำการปล่อยเช่าอาจจะถูกแบ่งเป็นสิบห้อง ซึ่งในจำนวนสิบห้องนั้นผู้เช่าสามารถทำธุรกิจใดก็ได้โดยไม่ได้มีการกำหนดว่าจะต้องเป็นประเภทเดียวกัน ธุรกิจหนึ่งอาจจะทำงานเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์ หรืออีกบริษัทจะเป็นเพียงแค่สำนักงานขององค์กรใดองค์กรหนึ่งก็ได้ ส่วนการดำเนินธุรกิจเพียงอย่างเดียวสำหรับเจ้าของทรัพย์หรือผู้ให้เช่าก็คือการบริหารพื้นที่เช่าให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง
2. ผลตอบแทนสูง
อย่างที่กล่าวไปในข้อหนึ่งว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทนี้ไม่มีขอบเขตของประเภทธุรกิจฉะนั้นจึงสามารถควบรวมหลายองค์กรมาไว้ด้วยกันได้ภายในอาคารเพียงแห่งเดียว เมื่อพื้นที่ในเมืองมีมูลค่าสูงขึ้นหลายองค์กรธุรกิจจึงมองไม่เห็นความคุ้มค่าที่จะเปิดออฟฟิศสำนักงานเป็นของตนเองแล้วเลือกที่จะหาพื้นที่เช่าแทน หรือแม้แต่ร้านค้าเล็ก ๆ ของผู้ประกอบการรายใหม่ก็อยากหาพื้นที่ที่กลุ่มลูกค้าสามารถเข้าถึงได้สะดวกซึ่งถ้าไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าและก็คงเป็นชั้นล่างของอาคารแห่งไหนสักแห่งที่เปิดให้เช่า เมื่อความต้องการในตลาดมีสูงขึ้นหากไม่สร้างโอกาสในตอนนี้อาจจะได้แค่นึกเสียดายผลตอบแทนที่กลายไปเป็นของคนอื่นในภายหลัง
3. สร้างธุรกิจในธุรกิจ
แม้ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าของพื้นที่เช่าจะไม่สามารถใช้ประโยชน์หรือดำเนินธุรกิจอย่างอื่นภายในอาคารสำนักงานของตนเองได้ การสร้างธุรกิจภายในธุรกิจอีกทอดหนึ่งก็เป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยผลักดันผลกำไรให้กลับมาหานักลงทุนได้มากขึ้น ไม่ว่าจะในรูปแบบของการแบ่งพื้นที่ว่างให้เป็นศูนย์อาหารสำหรับพนักงาน หรือการสร้าง Co-working Space ให้พนักงานได้มาทำงานร่วมกัน ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้เจ้าของพื้นที่เช่าได้กำไรจากธุรกิจทั้งสองทางเลยก็ว่าได้
ทั้งที่ความเสี่ยงมากมายขนาดนั้นทำไมถึงยอมเสี่ยงล่ะ?
นั่นก็เป็นเพราะกลุ่มนักลงทุนเหล่านั้นมองว่าการทำอสังหาริมทรัพย์ก็คือการลงทุนอย่างไรล่ะ คนส่วนใหญ่มักจะมองไปที่ความเสี่ยงมากกว่าการสร้างความก้าวหน้าให้กับตัวเองเพียงเพราะว่ามันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนมากกว่าและสร้างความเสียหายในมูลค่าที่สูงลิบลิ่วแน่ถ้าหากว่าวางแผนพลาด เมื่อต่างคนต่างก็คิดแบบนั้นสุดท้ายก็ไม่มีใครอยากเข้าไปทำจริง ๆ จนกลายเป็นภาพจำไปแล้วว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์เป็นเพียงธุรกิจของนักลงทุนเจ้าใหญ่เท่านั้น แล้วตัวคุณเองล่ะไม่อยากก้าวออกจากจุดเดิม ๆ เพื่อไปอยู่ในจุดที่นักลงทุนรายใหญ่เขายืนกันหรอกหรือ?
คลิกที่รูปภาพเพื่อสั่งซื้อหนังสือ
อ้างอิง:
Investing in Commercial Real Estate: 3 Advantages and Drawbacks จาก https://bit.ly/3FbYgNa
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
เรียบเรียงโดย: ศุภธิดา รัสพันธ์
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Freepik