ถ้าวันหนึ่งมีคนเดินเข้ามาบอกกับคุณว่า สิ่งที่ทำอยู่มันกำลังทำให้คุณเสียเวลา คุณจะเลือกเชื่อคำพูดของเขาคนนั้น หรือเลือกที่จะเชื่อตัวเอง แล้วเดินจากไป อย่างไม่ใยดี…
แน่นอนว่าการที่ใครคนหนึ่งจะเชื่อคำพูดของใครสักคนมันไม่ใช่สิ่งที่ทำกันง่าย ๆ ต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ความน่าเชื่อถือของบุคคลคนนั้นด้วย เพราะถ้ามีใครไม่รู้มาพูดกับเราแบบนี้ ก็คงจะไม่พอใจ แต่ถ้าคนที่พูดเป็นคนที่เรานับถือและเชื่อใจ อะไรที่ว่ายากก็ย่อมง่ายขึ้นในทันที
คำถามก็คือว่า แล้วเราจะเชื่อคำพูดของคนเหล่านั้นได้อย่างไร แม้ว่าเราจะเคารพมากแค่ไหนก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหวังดีกับเราไปเสียทุกคน จริงไหม?
เริ่มจากต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าเป็นจริงอย่างที่เขาบอกไหม จากนั้นค่อยลองถามความคิดเห็นคนอื่นในหมู่วงกว้างมากขึ้น ถ้าเป็นจริงก็แสดงว่าเขาคนนั้นคงหวังดีกับเราจริง แต่หากไม่จริงขึ้นมา ก็อย่าเพิ่งไปต่อว่าแต่อย่างใด เพราะมันก็ทำให้ได้รู้ว่า แท้จริงแล้วสิ่งนี้ต่างหากที่เรากำลังเสียเวลาอยู่ด้วย
เราไม่จำเป็นต้องเอาเวลาไปเถียงกับคนที่ไม่ฟังเรา ไม่อยากจะเข้าใจเราตั้งแต่แรก เพราะต่อให้เราพยายามอธิบายมากเท่าไหร่ก็หมดความหมายอยู่ดี สิ่งที่ควรจำไว้คือเราบังคับให้ใครเข้าใจเราทุกคนไม่ได้ ดังนั้นถ้ารู้ว่าเริ่มเสียเวลา ก็หยุดพยายามบ้างเสียเถอะในบางครั้ง มันเหนื่อย
ในสังคมเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้เสมอไป บางครั้งหลายคนเคยรู้สึกไม่ชอบใครสักคน ไม่ถูกชะตา แต่ต้องยอมฝืนตัวเองเพื่อความสัมพันธ์บางอย่าง เพื่อคอนเนคชั่นในการทำงานร่วมกันหรืออะไรก็ตาม และนั่นก็คือหนึ่งในเรื่องเสียเวลาเรื่องหนึ่งในชีวิต
การถนอมความสัมพันธ์คือสิ่งที่ควรทำ แต่หากมันอยู่ในมือของคนที่เราไม่เชื่ออย่างใจจริง ถึงฝืนทำดีเท่าไหร่สักวันก็จะหมดความอดทน สุดท้ายก็ต้องแยกย้ายกันอยู่ดี เพราะอย่างนั้น แยกเสียเลยตอนนี้ก็คงไม่เสียหายอะไรนักหรอก ดีกว่าต้องทนทรมานกับสิ่งที่ไม่ชอบต่อไป
อีกหนึ่งในสาเหตุที่ได้ยินกันอยู่กระทั่งทุกวันนี้คือการไม่เลิกยึดติดจากความรักที่จบไปแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนต้องการความรักกันทั้งนั้น และเมื่อเจอความผิดหวังเป็นปกติที่ต้องให้เวลารักษาแผลใจ แต่หลายคนยังไม่ก้าวผ่านช่วงเวลาเสียใจนั้นได้ ซึ่งให้สูญเสียโอกาสครั้งอื่นที่ดีในชีวิตมากมาย จงรีบเลิกเสียดายสิ่งที่ผ่านมา เพราะสิ่งที่รออยู่ตรงหน้ามีอะไรให้เราค้นเจออีกมากมาย
การมีเป้าหมายนั่นคือเรื่องดี ทำให้รู้ระยะในการเดินทางต่อไป แต่อย่ามองเป้าหมายจนลืมปัจจุบันที่สำคัญกว่า และอย่าเสียเวลากับการไม่เรียนรู้ในสิ่งที่มีอยู่อีกเลย บางคนมองแต่ปลายทางหาวิธีจะมุ่งไปอย่างเดียว แต่ไม่ตรวจเช็คความพร้อมว่าตัวเราพร้อมมากแค่ไหนในสังเวียนนี้ กว่าจะรู้ตัวได้สุดท้ายก็โดนคนอื่นทิ้งท้ายไปจนตามไม่ทันแล้ว
เหมือนกับนักวิ่งมาราธอนที่มองไปยังเส้นชัยอย่างเข้มแข็ง แน่วแน่และมุ่งมั่น แต่ไม่เคยก้มมาดูเลยว่ารองเท้าของตนเองเชือกหลุดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จนเมื่อใกล้จะถึงเส้นชัยกลับสะดุดเชือกล้มลง จนคู่แข่งคนอื่นแซงหน้าเข้าป้ายไปจนได้ พลาดความสำเร็จต่อหน้าต่อตาด้วยความผิดพลาดของตัวเอง
เช่นกันกับการทำอะไรอยู่แต่ที่เดิม เข้าใจว่าบางสิ่งถ้ามันดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องตามหา แต่การออกจากกรอบเดิมในบางครั้งก็จะได้ผลตอบรับในแบบใหม่ และไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยก็คือการทดลองเพื่อให้ได้รู้ว่าสิ่งที่เสียเวลาไปมันเป็นสิ่งที่คิดถูกหรือผิดกันแน่
ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลายคนกำลังกลัว จนทำให้ต้องยอมเสียเวลาในการเลือกที่จะเป็นแบบเดิมทั้งที่ไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ บ้างพอเห็นผู้คนเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกก็รู้สึกอยากเห็นภาพตัวเองในแบบใหม่บ้าง แต่ก็ติดอยู่กับบางสิ่งจนเกิดความกลัวที่จะทำ สุดท้ายทุกอย่างก็เหมือนเดิม
ว่ากันว่าอย่ากลัวการเปลี่ยนรูปลักษณ์เพื่อจะทำให้คุณกลายเป็นใคร แต่ขอให้สนุกกับการเปลี่ยนแปลงในแบบของตัวเองเสมอ การแต่งตัวไม่ได้บ่งบอกถึงนิสัยใจคอของผู้คน มันคือสไตล์ที่คุณชอบในวันนั้น ซึ่งมันไม่มีตายตัว อย่างคนแต่งตัวเรียบร้อยก็ไม่ได้หมายความว่าจะอ่อนหวานเสมอ หรือคนแต่งตัวฉูดฉาดก็ไม่ได้จะเป็นคนก้าวร้าวสักหน่อย เพราะแบบนี้ จงสนุกกับความเป็นตัวของตัวเองเถอะ
ลักษณะสำคัญที่ถูกสอนกันมาตลอดคือการอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักสองคำที่พาชีวิตไปอยู่ในที่เหมาะสมนั่นคือ ขอบคุณ และ ขอโทษ แต่การจะใช้สองอย่างนี้ให้ได้ผลที่สุดคือต้องมาจากความจริงใจ ไม่ใช่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดี แต่เราต้องรู้ว่าขอบคุณเรื่องอะไร และขอโทษเรื่องอะไร เพื่อที่จะไปเป็นประสบการณ์สอนให้เรารู้จักให้ความจริงใจผู้อื่นก่อนจะรับมา
แล้วถึงแม้ว่าในหลายครั้งเราจะพบว่าช่วงเวลานี้คือความสุขที่สุดแล้ว ก็อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจถ้ายังไม่เข้าใจคำว่าความสุขดี เพราะความจริงความสุขมีหลายรูปแบบและไม่จำเป็นต้องมาจากความสวยงามเสมอไป อย่าเสียเวลาโฟกัสกับความหอมหวานจนลืมไปว่าความเจ็บปวดก็เป็นความสุขได้เหมือนกัน
สตีเฟน ฮอว์คิง อัจฉริยะนักฟิสิกส์ ชายผู้คิดค้นปรากฏการณ์ “การแผ่รังสี” จนชื่อกระฉ่อนไปทั่วโลก เขามีความตั้งมั่นในความสนใจของตัวเอง และรวบรวมข้อมูลทฤษฎีทั้งหลายมากมายมาเพื่อแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์แบบนี้
ทั้งที่เขาเป็นโรคชนิดหนึ่ง จนทำให้ต้องเป็นอัมพาตอยู่เกือบทั้งตัว แต่นั่นคือร่างกาย ในด้านสมองของเขายังใช้การได้ เขาจึงไม่ยอมเสียเวลากับอะไรที่ไม่สำคัญในชีวิต จะมานั่งตัดพ้ออย่างคนอื่นทำก็คงไม่มีประโยชน์ เขามุ่งหน้าศึกษาเรื่องราววิทยาศาสตร์จนสุดท้าย ก็เป็นที่ยกย่องของคนทั่วโลกจนได้
ชีวิตเรามีอะไรที่มากกว่าความสุข ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นเป็นตัวหล่อหลอมให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าความสุข ถ้าหากชีวิตมีแต่ความสมบูรณ์พร้อม สวยงามเหมือนท้องฟ้าที่สดใส แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าท้องฟ้าที่ครุ่นมัวนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความสุขอยู่ในนั้น
นี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลมากพอที่เราจะต้องหยุดเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วไปใส่ใจกับเรื่องที่รัก สักที
…
เรียบเรียงโดย: กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels