อย่าให้ชีวิตต้อง “ขม” เพราะจัดการเงินไม่เป็น
ต้องหาเงินเองได้ก่อนใช่ไหม? ถึงจะมองว่าเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว
การที่เรามีงานทำ เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ได้เงินตลอดทุกเดือน คุณอาจคิดถึงการใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ดูแลตัวเองได้ สามารถอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาครอบครัว นี่อาจเป็นรสชาติของการเป็นผู้ใหญ่ในแบบของใครบางคน แต่จริง ๆ แล้ว การโตเป็นผู้ใหญ่ รสชาติมันไม่ได้ดีอย่างที่คิด
แต่ละช่วงวัยก็จะมีความ “ขม” ของรสชาติชีวิตที่แตกต่างกัน
ชีวิตวัยเด็ก จะขมเมื่อต้องกินพารา
ชีวิตวัยรุ่น จะขมเมื่อหาตัวตนไม่เจอ
ชีวิตผู้ใหญ่ จะขมเมื่อไม่มีเงินเก็บ
หากถามว่าช่วงวัยไหนขมกว่ากัน คงตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าช่วงเวลานั้น เราผ่านมันไปได้ยังไง แต่ถ้าเรามองย้อนกลับไป ชีวิตเราก็ผ่านร้อนผ่านหนาว ทนขมมาได้เยอะเหมือนกัน
หลังจากเรียนจบ ก็ต้องเริ่มทำงาน เท่ากับว่าเราเข้าสู่วัยทำงานอย่างเต็มตัว นี่แหละ จะเป็นช่วงชีวิตที่มีเวลายาวนานที่สุด อะไรหลาย ๆ อย่างจะวนลูปไปเรื่อย ๆ นี่ก็เป็นความขมของช่วงชีวิตวัยผู้ใหญ่เหมือนกัน
ในโลกนี้ เงินเปรียบเสมือนแรงผลักดันในชีวิตอย่างหนึ่ง เมื่อมีเงินมาก ก็จะมีโอกาสมากกว่าคนที่มีเงินน้อย ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาที่เราจะทำงานเพื่อเงิน เพราะเราต่างต้องการแสวงหาโอกาสดี ๆ ให้กับชีวิตตัวเองอยู่แล้ว
แล้วโอกาสดี ๆ คืออะไร? การได้ใช้เงินสนองความต้องการก็ถือเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง หากเราใช้เงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง มันจะไปผิดอะไร จริงไหม?
สรุป อะไรคือการโตเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ สามารถหาเงินเองได้ ใช้เงินเองได้ก็พอใช่ไหม? ไม่ใช่หรอก คุณจะโตจริง ๆ ก็ต่อเมื่อคุณ “จัดการเงินตัวเองเป็น” ต่างหาก
ตัวอย่างเช่นมนุษย์เงินเดือน มนุษย์เงินเดือนส่วนมาก ไม่เคยเรียนรู้วิธีการจัดการด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อถึงเวลาสิ้นเดือนทีไร ไม่เหลือก็หมด ไม่งั้นเราคงไม่เห็น Quote ที่คนวัยทำงานหรือมนุษย์เงินเดือนชอบใช้กันว่า “เงินเดือนเขาไว้เก็บใช้ทั้งเดือน ไม่ได้ให้ใช้หมดในอาทิตย์เดียว” หรอก
เมื่อคุณเป็นผู้ใหญ่ หนึ่งคุณสมบัติที่ต้องมี คือ “การมีเป้าหมาย” เมื่อคุณมีเป้าหมาย สิ่งที่ตามมาคือ “การตัดสินใจ” และ “แบบแผน” ในบริบทด้านการเงิน หากคุณเป็นมนุษย์เงินเดือน มันจะดีมากหากคุณสร้างเป้าหมายด้านการเงิน เมื่อมีเป้าหมาย ก็จะมีแบบแผน แผนนั้นแหละที่จะทำให้คุณเริ่มมีการเงินที่มั่นคงมากขึ้น
แน่นอนว่าแบบการจัดการด้านการเงินนั้นมีหลากหลาย บางคนอาจไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงดี ให้เราได้อธิบายวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
ต้องตัดสินใจระหว่าง “ต้องการ” กับ “จำเป็น”
หากคุณต้องเลือกอะไรสักอย่างระหว่างสิ่งที่ต้องการกับสิ่งที่จำเป็น ลองหยิบจับหรือคิดดู ว่าสิ่ง ๆ นั้นมันจำเป็นต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวันขนาดนั้นไหม
เช่น เสื้อผ้าที่ซื้อทุกอาทิตย์ ต้องถามตัวเองว่ามันเป็นสิ่งที่คุณ “ต้องการ” หรือคิดว่ามัน “จำเป็น” แน่นอนว่าการซื้อเสื้อผ้าทุกอาทิตย์มันไม่จำเป็นขนาดนั้น
ไม่ใช่แค่เรื่องเสื้อผ้า ยังมีเรื่องค่าใช้จ่ายรายเดือนที่เกินตัว เช่น Streaming ต่าง ๆ ที่สมัครไว้หลายอันเหลือเกินจนลืมว่าสมัครอะไรไปบ้าง หรือจะเป็นค่าอาหารราคาแพงที่กินบ่อยจนเกินไป
หากอะไรที่ไม่จำเป็น การตัดออกไป ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและสร้างนิสัยในการประหยัดได้ด้วย
อย่าดึงเงินเก็บออกมาใช้
การมีเงินเก็บเป็นบัญชีสำรองนั้นสำคัญมาก โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน เช่น ค่าซ่อมรถเมื่อรถเสีย ค่ารักษาเมื่อเจ็บป่วย
เพราะฉะนั้น การดึงเงินเก็บออกมาใช้ ต้องเป็นเรื่องจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรดึงมาใช้จ่ายจิปาถะ
อย่าพึ่งพาบัตรเครดิต
การซื้อของผ่านบัตรเครดิตอาจเป็นไอเดียที่ดีเมื่อเราได้ใช้มันใหม่ ๆ แต่ถ้าหากใช้มันไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นนิสัย หนี้บัตรเครดิตก็จะตามมา มันอาจทำให้สถานการณ์ด้านการเงินแย่ ๆ ของเราแย่ไปกว่าเดิม อีกทั้งยังทำให้คะแนนเครดิตเสียด้วย
อย่าให้นิสัยการใช้บัตรเครดิตเข้าครอบงำ คิดเสมอ ว่าอะไรที่จำเป็นกับตัวเรา อย่าใช้ไปกับของที่คุณแค่ “ต้องการ” ใช้กับสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
ติดตามการใช้จ่ายของตัวเอง
หากเราไม่รู้เลย ว่าปลายทางของเงินเราไปอยู่ที่ไหน ถือว่าเป็นเรื่องแย่แล้วแหละ แสดงว่าเราไม่สนใจเงินของตัวเองเลย เหมือนกับคนรัก หากเราไม่สนใจหรือใส่ใจ เรื่องแย่ ๆ ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จริงไหม?
การติดตามค่าใช้จ่ายจะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจนิสัยการใช้เงินของตัวเองได้ ว่าอะไรที่มันไม่จำเป็นต้องจ่าย แล้วเราสามารถหยุดได้ไหม ดูความจำเป็นแล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
การปรึกษาผู้มีความรู้ถือเป็นการแนะนำที่มีค่า ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญนั้นจะเป็นใคร พ่อ แม่ ครอบครัว หรือแม้แต่เพื่อนที่เราไว้ใจ อะไรที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ผิดที่จะถาม เพื่อความรู้ คุณต้องยอมเพื่อที่จะได้มันมาเสมอ
หากเราได้คำแนะนำมา ลองมาคิดดู ว่าเราจะปรับให้เหมาะกับตัวเองยังไง หากคนที่เราปรึกษามีความรู้ด้านธุรกิจก็ยิ่งดีต่อตัวเรา มันหมายความว่าตัวเราเอง จะได้รับความรู้นอกเหนือแค่สิ่งที่ต้องการ
สุดท้ายแล้ว หากคุณประหยัดตัดตอนค่าใช้จ่ายได้มากแค่ไหน แต่ก็ยังบริหารการเงินให้คงที่ไม่ได้ การหางานที่ได้เงินดีกว่าหรือหางานเสริมก็เป็นทางเลือกที่ดี
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ขาดไปไม่ได้เลย นั่นคือ “วินัย” และ “ความซื่อสัตย์” วิธีการหรือคำแนะนำที่ได้มาจะสำเร็จไม่ได้เลย หากคุณไร้ซึ่งระเบียบวินัยและการซื่อสัตย์ต่อตัวเอง สองสิ่งนี้ไม่สามารถสอนกันได้ มีเพียงตัวเราเองเท่านั้นที่ต้องสร้างมันขึ้นมา
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก : Freepik