ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งในอาชีพของคนเป็นนายหน้าหรือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คือการเผชิญหน้าโดยตรงกับเจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน เรียกได้ว่าเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ได้เข้าออกธนาคารบ่อย ๆ ราวกับว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มพนักงานเลยก็ว่าได้ แต่การเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้มก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกมาพร้อมรอยยิ้มเหมือนตอนแรกเพราะในบางครั้งสิ่งที่ต้องแบกออกมาด้วยก็คือความผิดหวังทั้งตัวนายหน้าและตัวลูกค้าที่มาด้วยโดยเฉพาะกลุ่มอาชีพอิสระหรือคนที่ไม่มีรายได้ประจำ
ไม่มีสลิปเงินเดือน…
ไม่มีรายได้ที่แน่นอน…
เพียงเท่านี้ก็เป็นเหตุผลที่มากพอที่จะทำให้การยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินนั้นถูกปัดตกได้แล้ว แต่ความรู้สึกของคนขายบ้านไม่ว่าลูกค้าจะเป็นใครก็อยากจะขายให้ทั้งนั้น ฉะนั้นจึงต้องกลับมาทำการบ้านแล้วว่าจะทำอย่างไรให้ลูกค้ากลุ่มนี้ก้าวผ่านด่านกู้ไปได้แบบฉลุย
1. ลูกค้าเครดิตดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
การกู้ซื้อบ้านสำหรับลูกค้าที่ไม่มีรายได้ประจำหรือที่เรียกกันว่าฟรีแลนซ์อาจจะต้องเผชิญกับคำถามร้อยแปดจากเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินโดยเฉพาะเรื่องของรายได้ที่ไม่แน่นอน ลูกค้าฟรีแลนซ์หลายคนเคยมีประสบการณ์ถูกปฏิเสธอนุมัติวงเงินกู้เพราะเหตุผลนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายคนที่ผ่านฉลุยได้อย่างง่ายดายด้วยการสร้างความมั่นคงของรายได้ที่ไม่แน่นอนซึ่งนั่นก็คือการสร้าง Statement ที่ดี สิ่งที่สถาบันการเงินให้ความสำคัญไม่ใช่เรื่องของฐานเงินเดือนเพียงอย่างเดียวแต่ยังเป็นความสามารถในการชำระหนี้สินเชื่อในภายหลังด้วย โดยสิ่งที่จะพิจารณาหลัก ๆ คือการเดินบัญชีในช่วงระยะเวลา 6-12 เดือน หรืออาจจะมากกว่านั้น แต่หากลูกค้าคือคนที่มีสภาวะทางการเงินลื่นไหลและมีภาระหนี้สินอย่างอื่นเพียงเล็กน้อยก็สามารถกู้ผ่านได้แล้ว
2. บ้านพร้อม เอกสารก็ต้องพร้อม
เมื่อคนที่อยากซื้อบ้านคือคนที่ไม่มีเอกสารการรับรองเงินเดือน สิ่งที่นายหน้าหรือเจ้าของโครงการจะสามารถช่วยแนะนำลูกค้าได้ก็คือการเตรียมเอกสารให้พร้อมเพื่อยื่นต่อสถาบันการเงิน โดยเอกสารการกู้ซื้อบ้านจะประกอบด้วยเอกสารดังต่อไปนี้
- ทะเบียนการค้า ทะเบียนพาณิชย์
สำหรับลูกค้าที่ไม่มีเอกสารรับรองรายได้ไม่ใช่เพียงแค่พนักงานฟรีแลนซ์หรือเหล่าพ่อค้าแม่ขายแต่ยังรวมไปถึงผู้ประกอบการรายย่อยบางรายที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองด้วย ในกรณีที่เป็นเจ้าของธุรกิจ เอกสารการจดทะเบียนการค้าหรือพาณิชย์นี้จะเป็นหลักฐานยืนยันอาชีพของผู้กู้ที่แน่นอนและสามารถยืนยันตัวตนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
คลิกที่รูปภาพเพื่อสั่งซื้อหนังสือ
- หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)
หนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่ายนี้เหล่ามนุษย์ฟรีแลนซ์จะได้รับจากผู้ว่าจ้างหรือสถานประกอบการหลังจากที่ได้รับค่าตอบแทนแล้ว โดยหนังสือรับรองนี้หลายคนอาจจะเคยคุ้นชื่อจากการนำไปยื่นภาษีประจำปีและนี่ยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งเอกสารสำคัญที่สามารถนำไปยื่นขอสินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านได้อีกด้วย
- หลักฐานการเสียภาษี
หลักฐานการเสียภาษีที่ต้องยื่นกับสรรพากรจะเป็นเอกสารบ่งบอกว่าผู้กู้มีรายได้รวมเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณปีละเท่าไหร่ซึ่งสามารถนำมาประกอบการกู้เพื่อแสดงรายได้ต่อสถาบันการเงินได้อีกเช่นกัน
- เครดิตบูโร
ประวัติจากเครดิตบูโรจะเป็นเอกสารที่ช่วยแสดงให้เจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงินเห็นว่าที่ผ่านมาผู้กู้เคยมีประวัติการผ่อนหรือการชำระหนี้ตรงตามที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ ในกรณีที่ลูกค้าติดแบล็คลิสต์อาจจะส่งผลต่อการอนุมัติวงเงินกู้จากธนาคารน้อยลงหรืออาจจะไม่ได้รับการอนุมัติเลย
- บัญชีเงินฝาก
แน่นอนว่าบัญชีเงินฝากคือสิ่งสำคัญที่ธนาคารจะเห็นถึงรายรับและการออมเงินของเจ้าของบัญชี ซึ่งอาจมีการตรวจสอบย้อนหลังไปอีกประมาณ 6 เดือน โดยตัวบัญชีของผู้กู้ควรจะมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ แต่ข้อควรระวังคือนายหน้าหรือเจ้าของโครงการบางคนที่อยากช่วยลูกค้าแต่งบัญชีอาจจะให้ญาติของลูกค้าโอนเงินก้อนหนึ่งเข้ามาไว้ในบัญชีชั่วคราวก่อนแล้วถอนคืนในช่วงหลังอนุมัติ แต่สถาบันการเงินก็ไม่ได้หูหนวกตาบอดเสมอไป ดังนั้นหากจู่ ๆ มีเงินก้อนใหญ่เข้ามาทีเดียวแล้วไม่มีการใช้สอยหรือมีการโอนเงินเข้าออก ธนาคารย่อมเห็นถึงความผิดปกตินั้นอยู่แล้ว
3. ร่วมด้วยช่วยกู้
การกู้ร่วมเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินนั้นมีความง่ายดายมากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีนี้มักจะเป็นวิธีสุดท้ายที่นายหน้าหรือเจ้าของโครงการส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้สำหรับแนะนำลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านจริง โดยปกติแล้วการกู้ร่วมจะสามารถทำได้ไม่เกิน 3 คน และต้องเป็นคนที่มีนามสกุลเดียวกัน เช่น พ่อ แม่ ลูก หรือพี่น้อง
ในกรณีที่กู้ร่วมกับพี่น้องที่คนละนามสกุลก็ทำได้เช่นกันแต่ต้องมีเอกสารยืนยันได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้านหรือเอกสารสูติบัตรที่ระบุเอาไว้ว่าผู้กู้ร่วมเป็นพี่น้องทางสายเลือดจริง ๆ
ส่วนการกู้ร่วมในฐานะสามีภรรยาแม้จะไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็สามารถกู้ร่วมได้โดยจะต้องแสดงเอกสารยืนยันสถานะที่สามารถตรวจสอบได้มาเป็นหลักฐาน ได้แก่ ภาพถ่ายหรือหนังสือรับรองบุตร เป็นต้น
การกู้ร่วมนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ผู้กู้สามารถดำเนินการได้ง่ายขึ้นแต่ยังทำให้วงเงินกู้นั้นสูงขึ้นด้วย และถือเป็นการกระจายความเสี่ยงหากว่าวันใดวันหนึ่งการเงินขาดสภาพคล่องก็ยังมีอีกคนที่สามารถรับภาระในการใช้หนี้ต่อไปได้
การขอสินเชื่อจากธนาคารเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะชี้ว่าลูกค้ากับคนขายบ้านจะได้ไปต่อหรือไม่ เพราะต่อให้คนขายอยากขายคนซื้ออยากมีบ้าน แต่ถ้าไม่มีเงินทุกอย่างก็คงต้องจบแค่ตรงนั้น ฉะนั้นการเตรียมตัวเพื่อไม่ให้ปัดตกตั้งแต่รอบแรกจึงเป็นเรื่องที่ทั้งคนขายบ้านและลูกค้าจะต้องให้ความร่วมมือกันเพื่อให้การขายนั้นบรรลุจุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้นั่นก็คือการปิดการขายที่สมบูรณ์ที่สุด
คลิกที่รูปภาพเพื่อสั่งซื้อหนังสือ
อ้างอิง:
สัมมนากู้ผ่านทุกเคส โดย คุณธัญรัศม์ ไกรพัฒนสิทธิ และคุณสงคราม ภูผาทอง
3 เคล็ด (ไม่) ลับ ฟรีแลนซ์กู้เงินซื้อบ้านผ่านง่าย ไม่นก จาก https://bit.ly/3EjxUJ3
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
เรียบเรียงโดย: ศุภธิดา รัสพันธ์
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Freepik