ไม่มีความเจ็บปวดไหนในโลกใบนี้ จะรุนแรงไปกว่าการกลัวที่จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เพียงเพราะเกรงว่าสิ่งที่กำลังจะทำในวันนี้จะส่งผลตามมาถึงวันพรุ่งนี้ จนสุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไรขึ้นมาสักที
เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเอาแต่คิดและคาดหวังกับสิ่งที่จะเกิดในวันพรุ่งนี้ เมื่อนั้นก็จะเป็นเวลาเดียวกับที่เรากำลังหลงลืมไปอย่างสุดใจว่า ผลของการกระทำในวันนี้ก็ส่งผลถึงวันต่อไปได้เหมือนกัน
1 วันมี 24 ชั่วโมง เท่ากับ 1,440 นาที หรือ 86,400 วินาที เคยสงสัยไหมว่าในเมื่อเวลาตรงนี้ทุกคนมีเท่ากันแต่ทำไมผู้คนถึงได้มีชีวิตที่แตกต่างกันมากได้ขนาดนี้ บางคนอาจจะบอกว่าเพราะด้วยฐานะหรือเปล่า คนจนก็ต้องก้มหน้าทำงานหาเงินอย่างแข็งขัน ในขณะที่คนรวยก็จะมีทางเลือกในชีวิตที่มากกว่า แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะสิ่งที่แตกต่างมากที่สุดคือการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าต่างหากเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของแต่ละคนออกมาในรูปแบบที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
โดยปกติแล้ว คิดว่าใน 1 วัน คนส่วนใหญ่มักใช้เวลาไปกับอะไรมากที่สุด?
คำตอบคือ การพักผ่อน แน่นอนว่าที่ต้องเป็นแบบนี้เพราะ เวลาพักผ่อนของคนเราที่ดีสุดอยู่ที่ประมาณ 6- 8 ชั่วโมง ซึ่งนั่นหมายถึง 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมดในหนึ่งวันเข้าไปแล้ว ย่อมไม่แปลกใจที่ทุกคนจะยกให้การพักผ่อนนั้นสำคัญกับชีวิตมากที่สุด
ในส่วนต่อมาที่คนเราจะใช้เวลามากที่สุดก็คือภาระหน้าที่ความรับผิดชอบที่แตกต่างกันของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หรือการทำงาน ก็คือสิ่งที่คนเราใช้เวลามากที่สุดเป็นสัดส่วนที่รองลงมา ซึ่งปกติแล้วก็จะใช้เวลาตรงนี้ 8 ชั่วโมงโดยประมาณ และนี่ก็คือส่วนที่สองของช่วงเวลาที่หมดไป
มาถึงตรงนี้ เท่ากับว่าภายใน 1 วัน เราได้ใช้เวลาไปแล้วสองส่วน ส่วนแรกคือการพักผ่อนที่ราว 8 ชั่วโมง และส่วนที่สอง คือเวลาในการทำหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ อีกประมาณ 8 ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับว่าหมดไป 16 ชั่วโมง จาก 24 ชั่วโมง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่นี้มาดูกันว่าแล้วช่วงเวลาที่เหลือเราสามารถทำอะไรได้บ้าง ซึ่งในช่วงสุดท้ายของแต่ละวัน ถ้านำมากองรวมกันก็ดูจะเยอะพอสมควร แต่อย่าลืมว่าในส่วนเวลาตรงนี้ได้ถูกกระจายไปชดเชยอยู่ในตลอดวันโดยที่เราไม่รู้ตัว
เริ่มตั้งแต่ตื่นลืมตา อาบน้ำ ทานอาหารเช้า จนถึงกระทั่งออกเดินทางไปยังจุดหมาย ทั้งโรงเรียนหรือที่ทำงานก็ตามแต่ ก็ได้ถูกหยิบยกเวลาส่วนนี้มาใช้ไปแล้ว ไหนจะช่วงทานอาหารกลางวัน แวะซื้อกาแฟยามบ่าย และเดินทางกลับบ้าน เมื่อนำมารวมกันก็ใช้ไปจนแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว
จึงทำให้เมื่อหลายคนกลับถึงบ้าน ยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาและจะพบว่าเวลาว่างที่เหลือไม่เพียงพอที่จะให้ได้ทำอะไรอย่างเต็มที่ ครั้นจะเปิดซีรี่ย์เรื่องโปรดมาดูคลายเครียดยังเป็นเรื่องยาก สุดท้ายก็ต้องตัดทอนกิจกรรมบางอย่างออกไป เพื่อให้ชีวิตเดินหน้าต่อได้ราบรื่น
แล้วสิ่งนี้ก็กลับมาตอบคำถามกับทุกคนอีกครั้งว่าขนาดเวลาในการทำกิจกรรมประจำวันเล็กน้อยยังมีไม่พอเลย ฉะนั้นเวลาที่หลายคนบอกว่าให้ไปตามหาสิ่งที่ชอบ หรือได้ทดลองทำสิ่งใหม่ในชีวิต ก็คงกลายเป็นแค่ฝันไปเลย
แต่ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ แล้วทำไมถึงยังได้มีคนเก่งเกิดขึ้นมาใหม่ได้ในทุกวัน นั่นก็มาจากความแตกต่างอีกเช่นเคย แม้คนส่วนใหญ่จะมองว่าเวลาที่เหลือในแต่ละวันมีเพียงนิดเดียว แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เขาไม่สนใจว่าเวลาจะเหลือเท่าไหร่ ขอแค่มีเวลาสัก 10 นาที มันก็มากพอให้เขาได้ทำในสิ่งที่จะพาเขาเข้าใกล้ความสำเร็จได้
และนี่คือกิจวัตรทั่วไปที่ยอดคนเก่งทั่วโลกที่ได้เปลี่ยนจากเรื่องธรรมดาให้มันพิเศษขึ้นมาตลอดกาล
ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ยอดนักเขียนชื่อดัง ด้วยความที่รักในงานเขียนเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่แม้จะรักแค่ไหนคนเราก็ต้องมีวันที่หม่นหมองกันบ้าง เขาจึงตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยการเขียนบันทึกในทุกครั้งที่ได้มีการตัดสินใจอะไรเกิดขึ้น ตามด้วยจดสิ่งที่เขาคาดหวังจากการตัดสินใจเหล่านั้นออกมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อผ่านไปเขาก็จะนำบันทึกเล่มนั้นกลับมาเปิดอีกครั้ง เพื่อดูว่าผลลัพธ์ต่างจากในตอนแรกที่คาดเอาไว้มากแค่ไหน
โดยวิธีนี้จะเป็นเหมือนการบันทึกความทรงจำ เพื่อบางครั้งสมองคนเราก็ไม่สามารถจำทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้หมด การจดถือเป็นตัวช่วยชั้นดี และที่สำคัญใช้เวลาไม่นาน อาจเพียง 5-10 นาทีเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือการประเมินผลอย่างคาดไม่ถึง และมีผลต่อการตัดสินใจครั้งต่อไป
สตีฟ จ็อบส์ ยอดผู้สร้างตลอดกาลจาก APPLE ก็มักจะใช้เวลาประชุมงานอย่างสุดพิลึกด้วยการสวมบทเป็นนักเดิน เพราะเขาชอบเดินไปคุยงานไป และสถานที่ก็ไม่ใช่สวนสาธารณะอันกว้างขวาง แต่พนักงานหลายคนมักพบว่าเขาจะเดินคุยงานภายในสำนักงานของ Apple มากกว่านั่งในห้องแอร์เงียบ ๆ
และที่สำคัญในแต่ละเรื่องที่สนทนามักเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความจริงจังอย่างมาก อาจจะดูสวนทางกับการกระทำแต่เขามองว่ายิ่งเดินหัวสมองได้คิดอย่างผ่อนคลายไปตามจังหวะการเดิน และนี่คือการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าเพราะนอกจากได้งานยังได้คุ้นเคยกับสถานที่ชัดเจนขึ้น แถมได้ออกกำลังกายอีกต่างหาก
แจ็ค ดอร์ซีย์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Twitter ก็มักจะใช้เวลาช่วงเช้าสั้น ๆ ก่อนเริ่มต้นเวลาทำงานด้วยการเดินระยะทาง 5-8 ไมล์ อยู่เสมอ เพราะถือเป็นการสตาร์ทเครื่องยนต์ในร่างกายและสมองให้พร้อมใช้งานกับการเดินทางที่ผ่านการทำงานในแต่ละวันได้อย่างดีจนน่าเหลือเชื่อ
หรือสองตำนานบุคคลสำคัญในตลอดกาลอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และ ลิโอนาร์โด ดา วินชี ก็มักหาเวลาว่างในระหว่างวันเพื่อที่จะทำการงีบหลับสั้น ๆ ก่อนที่จะมาทำงาน เพราะมันช่วยให้สมองได้ฟื้นฟูอย่างวิเศษก่อนจะพร้อมใช้งานอีกครั้งเมื่อตื่นมาอย่างรวดเร็ว
ซึ่งที่เล่ามาทั้งหมดคนเหล่านี้ก็มีเวลาเท่ากันกับทุกคนบนโลก เพียงแต่ว่าจุดที่ต่างกันคือเขามองเห็นคุณค่าในเวลาที่คนทั่วไปไม่เห็นค่า เขายอมสละเวลาบางส่วนเพื่อที่จะนำมาซึ่งกระบวนการบางอย่าง และจุดสำคัญคือเขามองทุกวันให้ดีที่สุด ไม่มีการคิดว่า “เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยทำแบบนั้นก็ได้” คนประเภทนี้จะเกลียดการรอคอยความสำเร็จเป็นที่สุด เพราะพวกเขามองว่าความสำเร็จไม่ใช่ต้องมานั่งรอโอกาส แต่ต้องเริ่มมือทำเลยนับตั้งแต่วันนี้
เพราะถ้าเรามัวแต่คิดว่าจะรอทำในวันถัดไป ในวันนี้จะมีอีกกี่คนที่เขาทำและแซงหน้าเราไปไหนต่อไหนแล้ว โลกความเป็นจริงไม่มีที่ว่างมากพอให้คนที่รอความสำเร็จหรอกนะ ถ้าอยากได้สิ่งที่ดีที่สุดก็ต้องทำงานหนักมากกว่าคนอื่น และถ้าอยากให้ความสำเร็จปรากฏขึ้นเร็วที่สุด ก็ต้องเริ่มมุ่งมั่นใช้ชีวิต และจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่า จงใช้ชีวิตของวันนี้ โดยไม่จำเป็น ต้องมีวันพรุ่งนี้ อีกต่อไป
…
เรียบเรียงโดย: กฤตเมธ อันสมัคร
กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels