ถ้าวันหนึ่ง พบว่าในเส้นทางที่เรากำลังเดินอยู่ไม่ใช่ทางที่ถนัด เพียงแค่เราทำได้ดีและอยู่กับมันมาตลอดนับสิบปี
คำถามคือ เรายังอยากจะเดินทางในเส้นทางเดิมที่ทำได้ดี หรือว่าจะลองเสี่ยงดูเพื่อไปตามหาสิ่งที่อยากทำมากกว่านี้
ปัญหาที่อยู่กับผู้คนส่วนใหญ่มานมนาม คือการหาตัวเองไม่เจอสักที ว่ากันว่าถ้าอยากรู้ว่าชีวิตจะเป็นไปทางไหน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในช่วงอายุราว 14-15 ปีของคนๆนั้น
เพราะนี่อาจเป็นคำตอบจากเบื้องบนว่าสิ่งที่เราเลือกไปตอนนั้น ถูกต้องหรือผิดพลาดกันแน่ หากเลือกดีก็จะต่อยอดไปสู่โอกาสที่จะเพิ่มเติมอีกหลากหลาย แต่ถ้าผิดพลาดขึ้นมา ก็คงต้องมีเสียเวลากันบ้าง เพื่อไปหาตัวตนในสิ่งที่ถนัดยิ่งกว่านี้
ย้อนกลับไปในช่วงฤดูกาลแห่งการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ต่างคนต่างสะสมคะแนน เกรดเฉลี่ย และทุกอย่างที่จะนึกได้มาไว้กับตัวให้มากที่สุด เพื่อจะมีภาษีที่มากกว่าคนอื่น
เพราะการมีผลงานทั้งในด้านการเรียนรวมถึงกิจกรรมก็ย่อมเปิดประตูบานใหม่ในสถานที่ที่ต้องการของตัวเอง เหล่านักเรียนขาสั้นและชุดคอซอง ต่างวิ่งวุ่นในช่วงเวลานี้ของทุกปี
บางคนมีความตั้งใจมาตลอดว่าอยากเป็นอะไร ก็เลือกเรียนในคณะที่จะพาไปสู่เส้นทางอย่างที่ควรจะเป็น แต่ด้วยโควตาที่จำกัด ทำให้เด็กทุกคนไม่สามารถศึกษาต่อในคณะที่ต้องการ
ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง คะแนนไม่ถึงบ้าง ช่วงเวลาไม่ตรงกันบ้าง หรือพื้นที่มีจำกัด ก็พัดพาเหล่าคนที่มีฝันให้ออกมาเปลี่ยนเส้นทางที่ตั้งใจของตัวเอง ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองชอบอะไร
ในแต่ละปีคงมีคนไม่น้อยที่ต้องเบนเข็มหาความถนัดใหม่เสมอ
ทีนี้เรื่องนี้มันสำคัญอย่างไร มันจะมาแสดงผลในเมื่อตอนเด็กเหล่านั้นเติบโตขึ้น ทำงานตามเส้นทางที่ร่ำเรียนมา แน่นอนว่าช่วงเวลาอาจทำให้คนหนึ่งคนชำนาญในการทำสิ่งหนึ่งได้
อย่างที่ Daniel Coyle นักเขียนชื่อดังผู้วิเคราะห์หลักจิตวิทยาของคนเก่งจากทั่วโลก แล้วสิ่งหนึ่งที่เขาพบคือ คนเก่งระดับโลกมักฝึกฝนมานับครั้งไม่ถ้วนมหาศาลกว่าจะสำเร็จได้
แต่นั่นไม่ใช่กับทุกคน การจะฝึกฝนได้นานต้องมาจากความสนใจอย่างจริงจัง เพราะต้องใช้สมาธิอย่างจดจ่อ หากทำได้ดีก็ไม่ได้แปลว่าจะทำได้ตลอดไป นั่นจึงเป็นเรื่องยากเสมอ
ซึ่งพอไม่ใช่สิ่งที่สนใจตั้งแต่แรก ผลสุดท้ายเมื่อถึงเวลาหนึ่ง ความเบื่อหน่ายก็คืบคลานเข้ามา ความอ่อนล้าพองตัวใหญ่ขึ้น สู่การตัดสินใจออกจากงาน เพื่อมาตามหาความฝันในวันที่อะไรก็ดูเหมือนจะช้าไปหมด ช่วงวัยก็ไม่อยู่ในเส้นทางการแข่งขันแล้ว ท้ายที่สุดก็จะถูกสังคมลดทอนคุณค่าออกไป เพียงเพราะว่าไม่มีความมั่นคงในชีวิตเท่านั้นเอง
และก็เกิดคำถามขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองคือ กลุ่มคนเหล่านี้คือคนที่ไม่มีคุณค่าจริงเหรอ เพียงแค่เขาต้องการที่จะไปทำในสิ่งที่สนใจในช่วงหนึ่งของชีวิตดูบ้าง ถึงมันจะเสี่ยงแต่เขาก็อยากลอง
แต่เชื่อไหมว่ากว่าครึ่งของจำนวนคนที่ตกงานในแต่ละปี เป็นคนที่เลือกออกจากงานประจำที่ทำอยู่ แล้วมาหาโอกาสใหม่ที่จะพาเขาเข้าใกล้ความฝันมากขึ้น เพียงแต่ยังไม่เจอในตอนนี้
จากคนที่มีความฝันเหมือนทุกคน แต่เมื่ออะไรหลายอย่างทำให้ต้องเดินทางไปในถนนเส้นอื่น สุดท้ายเขาก็เลือกเลี้ยวกลับมาในปลายทางที่จะสนใจมาโดยตลอด กลับถูกหลายคนตีค่าว่าไม่มีความฝันชัดเจน จนทำให้สับสนว่าสิ่งที่ทำถูกต้องหรือไม่
ที่น่าตลกคือโมเมนตั้มทุกอย่างสลับขั้วราวกับว่านี่คือสิ่งที่ผิด จนลืมว่ามีคนสำเร็จตั้งมากมายที่ไม่ได้เริ่มทำในสิ่งที่สนใจตั้งแต่แรก หรือมากไปกว่านั้นมีคนมากมายที่เรียนไม่จบด้วยซ้ำ แต่ก็พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่น่าพอใจในชีวิตได้
นี่คือเหตุการณ์ที่เริ่มมาจากจุดเล็กๆเพียงเท่านั้น ก็ทำให้ย้อนกลับมาตกตะกอนความคิดได้ว่า เราไม่อาจตัดสินใครได้เลยจริงๆ เพียงแค่เห็นผลลัพธ์ในปลายทางว่าไม่สำเร็จ
อันที่จริงเราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใครได้เลย ว่าชีวิตของคนนั้นสวยงามหรือล้มเหลว และมองให้ลึกลงไปยังพบว่าในสังคมรอบข้างมักให้พื้นที่กับคนสำเร็จมาก จนไม่มีพื้นที่ให้คนที่กำลังจะก้าวไปอยู่ในจุดนั้น หลายคนจึงถอนสมอออกจากความฝัน
ถ้าความสมบูรณ์ คือการประสบความสำเร็จ ได้ทำในสิ่งที่สนใจ สิ่งที่ชอบจนเป็นอาชีพได้เท่านั้น บางทีเราอาจยอมเป็นคนไม่สมบูรณ์บ้าง แต่ได้ทดลองให้โอกาสตัวเองดู ก็คงจะดี
สุดท้ายก็สะท้อนกลับมาบอกกับสังคมว่าคุณค่าไม่ได้อยู่ที่ความพอใจต่อคนทั้งโลก แต่ไม่ต้องถึงกับใจร้ายต่อสังคม เพียงแค่ใจดีกับตัวเองให้มากกว่านี้ ให้โอกาสทดลอง เรียนรู้ประสบการณ์ดูบ้าง ฟังดูอาจเชยๆ แต่ว่านี่แหละคือกลไกสำคัญที่จะไปพบกับความสำเร็จที่ใกล้เคียงกับที่เราต้องการ
เพราะคุณค่าของความสำเร็จ ไม่อยู่ที่ความเร็ว หรือจำนวนผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แต่มันคือการให้ชีวิตได้เรียนรู้ตามช่วงเวลาอย่างเหมาะสม เพื่อเข้าใกล้สิ่งที่ตามหา
แต่ต้องพึ่งพาความขยัน ระเบียบวินัย ที่เป็นพื้นฐานทั่วไป สิ่งเหล่านี้อาจไม่ทำให้หลายคนมีมุมมองต่อตัวคุณดีขึ้นนักหรอก อย่างน้อยก็ทำให้กล้าออกมาซื่อสัตย์กับตัวเองขึ้น
ผลสุดท้ายถ้าหากว่าตั้งใจมากพอ ทำอย่างเต็มความสามารถ เชื่อว่าผลของมันคงจะไม่ทำให้เสียใจ และไม่แน่อาจได้พบว่าความสามารถของตัวเองมีมากกว่าที่เคยนึกถึง
คงได้เวลาลบคำสบประมาทจากหลายคน เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนทุกคนต่างมีคุณค่าในแบบของตัวเองที่แตกต่างกัน…
…
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ภาพประกอบจาก : Freepik