หากพูดถึงการใช้เงิน สิ่งแรกที่เราต้องการใช้เงินแลกมันมา คืออะไร? หากเราเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง มันอาจไม่ใช่ค่าน้ำมัน ค่าไฟ ค่าเช่า หรือค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
ต้องย้อนกลับไปช่วงก่อนเงินเดือนออก ในตอนนั้น เราอยากได้อะไรมากที่สุด? มันอาจเป็นสิ่งของบางอย่างที่เราอยากได้ และต้องใช้เวลาเก็บเงินกว่าจะได้มันมา มันอาจจะเป็นกล้อง ทีวี คอมพิวเตอร์ตัวใหม่ที่เราอยากได้ และกิเลสมันจะอยู่อย่างนั้น หากไม่ได้สนองความต้องการ ความอยากก็ไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ทำไม เราไม่สามารถซื้อสิ่งที่เราต้องการได้สักที?
ยิ่งโตขึ้น ก็ยิ่งมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น สมัยเรียน เราแค่เสียค่ารถ ค่าข้าว แต่วัยทำงาน แน่นอนว่ามันไม่ได้มีแค่ค่ารถกับค่าข้าว
เมื่อโตขึ้น เรามีสิ่งที่เราต้องการในชีวิต โดยมองว่าการทำงานได้เงินมา ก็เปรียบเหมือนกับรางวัลจากการทำงานหนัก จะใช้อะไรก็เรื่องของเรา แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ไม่เพียงพอ เพราะเราต่างมีรายจ่ายที่จำเป็นตลอดเดือน ทำให้การสนองความต้องการเป็นเรื่องนาน ๆ ทีที่สามารถละลายเงินไปกับมันได้
หรือจริง ๆ แล้ว มันเป็นตัวเราเองที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินไป จนไม่สามารถสนองความต้องการตัวเองได้ อันนี้ก็แล้วแต่คน
การเป็นมนุษย์เงินเดือน เรามีเงินเข้าคงที่ทุกเดือนก็จริง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าการมีเงินเดือนจะทำให้เราสามารถใช้เงินฟุ่มเฟือยได้
บางคนได้เงินเดือนมาใช้จนหมดตั้งแต่ต้นเดือน บางคนเหลือไม่พอใช้ เพราะเราคงคิดว่าสิ้นเดือน เงินก็เข้าบัญชีอยู่ดี ไม่มีอะไรให้ห่วงมากมายขนาดนั้น
แต่จริง ๆ ในทุกวันนี้ มันก็อาจจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว เราเห็นคนแชร์ คนโพสต์มีมตลก ๆ เกี่ยวกับการใช้เงินของมนุษย์เงินเดือนอยู่เป็นประจำ มันก็ตลกดีนะ แต่ลึก ๆ ก็ขำไม่ลงเหมือนกัน
บางคนถึงขั้นยอมรับกับชะตาชีวิต ว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติจนชินกันไปแล้ว แต่ความเป็นจริง มันไม่ถูกต้องหรอก หากอยากอยู่บนโลกนี้โดยไม่ย่ำอยู่กับที่ อยากพัฒนา อยากสำเร็จอะไรในชีวิตสักอย่าง เราไม่ควรยอมรับกับชะตาชีวิตแบบนี้
หากอยากเปลี่ยนแปลง มันไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย เพราะการจะเปลี่ยนอะไรสักอย่าง มันต้องใช้เวลาและวินัยอยู่พอสมควร หากมีเวลาแต่ขาดวินัย ยังไงก็ไม่มีทางสำเร็จได้
เมื่อใดก็ตาม ที่เราเริ่มเครียดจากการใช้เงินหมด ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องเปลี่ยน Mindset
เราอาจต้องจ่ายค่านั่นค่านี่ที่จำเป็นในแต่ละเดือน โดยเฉพาะคนที่มีหนี้บัตรเครดิต หากยังเป็นคนใช้เงินฟุ่มเฟือย เครดิตก็จะหดหายไปเรื่อย ๆ จนไม่เหลือความน่าเชื่อถือ สุดท้าย ความเครียดจะสะสมไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิต หากไม่อยากอยู่ในสภาพแบบนี้ เปลี่ยน Mindset การเงินของตัวเองเป็นอันดับแรก
Mindset การเงินที่ถูกต้อง คือการหามาเก็บ ไม่ใช่หามาใช้ แน่นอน ว่าการใช้ ไม่ได้ผิด แต่จริง ๆ แล้ว เราควรใช้ให้มันถูกต้อง ใช้เท่าที่เราคิดว่าพอ แล้วเก็บให้ได้ เก็บให้อยู่
ไม่ว่าเงินเดือนจะเยอะจะน้อย อย่างน้อยก็ลองเก็บให้ได้สัก 10% จากเงินเดือนในแต่ละเดือน หากเราเริ่มเก็บเงินได้ตั้งแต่เดือนนี้ มันก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ และหากเราเรียนรู้การลงทุนควบคู่ไปด้วย เงินเก็บก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
ก่อนใช้เงินทำอะไรสักอย่าง ต้องคิดแล้วคิดอีก
เราต้องการสิ่ง ๆ นั้นมากแค่ไหน เราจะมีรถเพิ่มอีกคัน แอร์เพิ่มอีกตัว โน๊ตบุ๊คอีกเครื่องไปทำไม? คิดดูดี ๆ หากว่ามันจำเป็นจริง ๆ ก็ต้องลองถามความคุ้มค่า ว่ามันคุ้มค่ามากแค่ไหน ถ้าไม่ ลองคิดอีกที ว่าอะไรจำเป็นที่สุด หากติดแอร์ ติดแค่ห้องนอนพอไหม? หากห้องนั่งเล่นไม่เย็น ซื้อพัดลมเพิ่มแทนดีกว่าไหม?
จริง ๆ แล้ว หลักการมันก็ง่ายนิดเดียว อย่าซื้อของที่ต้องการ ซื้อของที่จำเป็น แต่พูดมันก็ง่ายกว่าทำ
เปลี่ยนจากซื้อของที่จำเป็น เป็นซื้อในสิ่งที่ใจต้องการมากที่สุด โดยจำเป็นกับการใช้ชีวิตและคิดถึงความคุ้มค่าเป็นหลัก แบบนี้คงน่าจะดีกว่า
สิ่งที่ใจต้องการมีเหตุผลเสมอ หากใช้เงินไปกับมัน มันคงไม่เสียหายอะไรมากนักหรอก เพราะเราต่างต้องการสนองความต้องการตัวเองอยู่แล้ว
สรุป
หากเรามี Mindset ที่เก็บมากกว่าใช้ แน่นอนว่ามันจะมีผลดีกับอนาคต หากอนาคตขาด Mindset แบบนี้ เราก็คงวนลูปอยู่กับการหาเงินใช้เงินแบบเดือยชนเดือนต่อไป
และถ้าหากเราใช้เงินโดยคิดหน้าคิดหลังมาดีแล้ว บวกกับการมี Mindset แบบเก็บมากกว่าใช้ การใช้เงินไปกับการสนองความต้องการ ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาไปในที่สุด แต่อย่าลืม สิ่งที่ใจต้องการมักมีเหตุผลเสมอ แต่สิ่ง ๆ นั้นต้องเป็นสิ่งที่จำเป็นและคุ้มค่ามากเท่าที่จะมากได้
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ภาพประกอบจาก : Freepik