เคยสงสัยกันไหมว่า นับตั้งแต่วันที่เราทุกคนเริ่มอ่านออกเขียนได้ หรือรับรู้เรื่องราว จดจำสถานการณ์ต่างๆ มาจนถึงวันนี้ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความสามารถของเราจริงๆ กันแน่
เวลาผ่านมานานหลายปี แต่ละคนก็ต่างออกไปเจอโลกภายนอก ใช้ชีวิตในแบบที่ต่างกันออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยนอกเหนือจากประสบการณ์ทั้งหลาย
สิ่งนั้นคือ เมื่อย้อนกลับไปตอนเด็ก มักจะมีอย่างหนึ่งที่เราเคยทำได้ดี อาทิเช่น วาดรูป ร้องเพลง แต่งกลอน หรือแม้แต่เล่นกีฬา แต่ทุกวันนี้เราไม่อาจสามารถทำแบบนั้นได้อีกแล้ว
คำถามก็คือ ความสามารถพวกนี้ได้หายแล้วจริงๆ หรือความจริงมันก็ยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่เราลืมวิธีหยิบมันออกมาใช้อีกแล้ว
ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยมาตลอด ว่าทำไมกันที่ครั้งหนึ่งเราเคยชอบและทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้ดี แต่ในวันนี้เรื่องราวเหล่านั้นกลับเป็นเรื่องธรรมดาไปหมด จนอดน้อยใจไม่ได้
เรื่องนี้จึงต้องมีที่มา…
อาการเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน มีการศึกษาค้นคว้ากันในงานด้านจิตวิทยา อาการเหล่านี้เข้าข่ายของ “Imposter Syndrome” หรือ “โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง”
แม้ว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ในวัยที่พบมากสุดคือวัยรุ่นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 25-45 ปีโดยประมาณ โดยมีที่มาจากการไม่ภูมิใจในตัวเอง รู้สึกด้อยค่าตัวเองเสมอ
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ว่าน่ากลัวแล้ว แต่ยังไม่เท่าผลกระทบที่จะตามมา เพราะร้ายแรงที่สุด นำไปสู่โรคซึมเศร้าได้เลยทีเดียว
โดยเจ้า Imposter Syndrome เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณกว่า 40 ที่แล้ว มีการบันทึกว่าในปี ค.ศ.1978 มีนักจิตวิทยาอยู่สองคนคือ Suzanne Imes และ Pauline Rose Clance
ทั้งคู่ได้ทำการวิจัยศึกษาหาคำตอบในเรื่องปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหล่าผู้คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ภายนอกที่ดูหอมหวาน สวยหรู และเพียบพร้อมไปเสียทุกด้วย
แต่เมื่อสำรวจภายในใจ กลับพบว่าลึกๆแล้ว พวกเขาไม่ได้รู้สึกคู่ควรกับมันสักเท่าไหร่ คิดว่าที่ตัวเองพบเจอความสำเร็จได้นั้นเป็นเพราะโชคชะตามากกว่าความสามารถทั้งนั้น
จนเมื่อคิดวนแต่เรื่องราวเก่าๆ ก็มีความรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งจริง กดตัวเองให้ต่ำลง ไม่มีความสุข บางรายถึงขั้นเข้าใกล้ของอาการโรคซึมเศร้าเลยก็ยังมีให้เห็นมากมาย
นี่จึงเป็นเหตุผลว่า แท้จริงทุกคนมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น
ซึ่งจากการศึกษาพบว่ากลุ่มเป้าหมายหลักที่พบเจอมักจะเกิดกับเพศหญิงด้วยซ้ำ แม้ไม่มีการระบุแน่ชัดว่าทำไม แต่จากการวิเคราะห์ก็อาจมีส่วนมาจากความเท่าเทียมในสังคมอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม ว่ากันตามความเป็นจริงนี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับใครด้วยซ้ำ เพราะไม่มีผลดีกับใครทั้งนั้นเลย การกดดันตัวเองมากเกินไป คิดว่าเราสามารถจัดการทุกอย่างได้
ย่อมทำให้เมื่อถึงวันหนึ่ง หากทำไม่ได้ตามที่ต้องการก็จะขาดความมั่นใจ ไม่เป็นตัวเอง ไม่กล้าแม้กระทั่งตอบคำถามตัวเองให้ได้ ว่าแท้จริงแล้ว อะไรคือสิ่งที่เราถนัดและทำได้ดีกันแน่
เชื่อว่าทุกสังคม มักจะมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่คิดว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือใคร สามารถจัดการทุกปัญหาอย่างราบรื่นไปเสียหมด จนเมื่อทำไม่ได้ ก็จะโทษตัวเองว่าเราไม่เก่ง กำลังใจท้อถอย จากมั่นใจมากก็กลายเป็นคนที่กลัวไปหมด นำไปสู่การถอดใจกับงานในที่สุด
ยิ่งบางสังคมที่มีผู้คนเป็นจำนวนมาก กระบวนการขององค์กรก็สำคัญ ทุกอย่างถูกเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน แต่ติดอยู่กับคำว่าอีโก้ ที่ทำให้เรื่องที่น่าจะไปได้สวย กลับต้องหยุดชะงัก
หากเรามองทุกอย่างให้เข้าใจ ทำงานเป็นทีมมากขึ้น สร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคน รู้ขอบเขตงานของตัวเอง ถ้าสิ่งไหนไม่ถนัด ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นเรื่องน่ายอมรับเสียมากกว่า
เริ่มจากมองตัวเองในแง่บวกบ้าง อย่างน้อยตื่นนอนมาก็ควรจะชื่นชมตัวเองเพื่อให้กำลังใจ ทบทวนเรื่องดีๆที่ผ่านมา ส่วนเรื่องที่ย่ำแย่ก็ทิ้งมันไว้ ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ
ฝึกง่ายๆจากการรับรู้ในความสามารถของตัวเอง พัฒนาสิ่งที่ถนัด หมั่นฝึกฝน สิ่งใดที่ยังอ่อนก็แค่เพิ่มทักษะเข้าไป วันหนึ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้น พอมีความรู้สึกดีกับตัวเอง ความสุขก็จะตามมาเอง นี่คือกฎธรรมชาติที่ไม่ว่าใครก็ควรได้รับ
ทุกวันนี้เรื่องราวในสังคมที่เราพบเห็นมันก็มากมายพออยู่แล้ว ไม่เห็นต้องเพิ่มเรื่องน่าปวดหัวของเราให้สมองทำงานหนักเลย
การเรียนรู้ไม่ใช่แค่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันคือเรื่องของทุกคน สิ่งที่ทุกคนควรจะต้องรู้ เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางของเป้าหมายในอนาคตได้อย่างชัดเจน
และไม่ว่าคุณจะเป็นหรือไม่เป็นโรคนั้นก็ช่าง มันถูกสร้างด้วยตัวเราเอง เป็นได้ก็หายได้ ขอเพียงทุกคนมีกำลังใจที่ดีให้ตัวเอง และจะดีเข้าไปอีก ถ้าส่งให้คนรอบข้างด้วยในสิ่งดีๆ
ไม่ต้องกดดันตัวเอง คอยเรียนรู้ ทำความเข้าใจ ทุกอย่างไม่มีอะไรซับซ้อน แต่อาจต้องมองอย่างละเอียด อยู่กับมุมมองทั้งสิ้น
และเมื่อไหร่ที่เรายอมรับว่าเราโง่
นั่นแหละ คือเวลาในการพัฒนาตัวเอง ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว…
…
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ภาพประกอบจาก : Pexel