กี่ครั้งแล้วที่เอาแต่ผัดวันในการทำความสะอาดห้องนอน
กี่ครั้งแล้วที่เอาแต่หันหน้าจากห้องครัวเพื่อไปกินข้าวนอกบ้าน
ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะ คุณขี้เกียจทำงานบ้าน หรือ ขี้เกียจทำอาหาร อย่างนั้นจริงเหรอ ?
ในยุคที่ทุกสิ่งขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็วมาเป็นอันดับหนึ่ง ใครช้าจะถือว่าเป็นพวกท้ายแถว ล้าหลัง ตามคนอื่นไม่ทัน ทั้งที่จริงแล้ว บางคนยึดหลักความเร็ว แต่ไม่มีคุณภาพก็มีถมไป
ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมทุกวันนี้ใช้เวลากับชีวิตนอกรั้วมากกว่าชีวิตในบ้านด้วยซ้ำ โดยแทบไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำ ว่าจริงๆแล้ว เราจดจำบรรยากาศภายนอก ได้ดีกว่าในบ้านไปแล้ว
เริ่มทันทีที่ตื่นนอน สิ่งแรกที่ต้องทำ คืออาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน บางคนอาจโชคดีมีเวลาทานกาแฟหรืออาหารสักมื้อ แต่นั่นคือคนส่วนน้อยมาก และกว่าจะกลับถึงบ้าน ฟ้าก็มืดลงแล้ว ด้วยความเหนื่อยล้าที่เจอมาตลอดทั้งวัน การจะรวบรวมแรงที่เหลือให้พอสำหรับการอาบน้ำถือว่าเก่งมากพอแล้ว
ยิ่งถ้าเป็นวันธรรมดา ไม่ใช่สุดสัปดาห์แล้วละก็ กิจกรรมของคนส่วนใหญ่ มักจะใช้เวลาหมดไปกับ การพักผ่อน นอนหลับ อยู่เสมอ
จะหวังให้พวกเขาเอาเวลาไป ทำอาหาร รดน้ำต้นไม้ เล่นกีฬา อ่านหนังสือ วาดรูปเล่นก่อนนอน หรือพัฒนาความสามารถในด้านอื่นๆ แทบจะเป็นเพียงแค่ฝันเท่านั้น
จะมีก็แต่ช่วงเวลาที่บรรจงเอานิ้วถูไปที่โทรศัพท์อย่างเมามันส์ อาจจะเป็นช่วงเวลาบนรถโดยสาร หรือจอดติดไฟแดงกลางสี่แยกสักแห่ง แต่นั่นก็ถือเป็นเสี้ยวนาทีอยู่ดี
ย้อนกลับไปที่เป้าหมายในชีวิตของทุกคน คือการมีชีวิตที่สุขสบาย การมีบ้านสักหลัง รถสักคัน หรือธุรกิจส่วนตัวเล็กๆสักที่หนึ่ง คงเป็นความฝันสูงสุดของคนมหาศาล
แต่ก่อนที่ชีวิตจะได้อย่างที่หวัง เรามักลืมโฟกัส และสนใจกับปัจจุบันในเวลานี้ ตอนนี้ รวมถึง วินาทีนี้ อยู่เสมอ
เคยสังเกตตัวเองกันหรือเปล่า ว่าทุกวันนี้เราไปสนใจและให้ความสำคัญกับสิ่งภายนอกกันมากแค่ไหน ลองปล่อยวางทุกอย่าง นั่งไปที่เก้าอี้ตัวโปรด และกวาดสายตาไปรอบๆบ้านของคุณดูสิ่ เห็นอะไรบ้างหรือเปล่า
เรามักจะจำได้หมดว่าร้านอาหารโปรดของเราอยู่ตรงไหน เสื้อผ้าร้านประจำต้องซื้อที่ไหน หรือจะไปเที่ยวสถานที่นี้ต้องไปอย่างไร แต่มีเรื่องง่ายๆอยู่กี่เรื่องกัน ที่เราลืมนึกถึงแล้วทิ้งมันเอาไว้ที่บ้าน
เราซักผ้าปูที่นอน ล่าสุดเมื่อไหร่ ?
เสื้อผ้าตัวไหน ที่ลืมไปแล้วว่าเคยซื้อมา ?
หนังสือกี่เล่ม ที่ดองไว้จนลืมอ่าน ?
อาหารในตู้เย็น ยังกินได้อยู่กี่อย่าง ?
หรือ ทำอาหารที่บ้านครั้งล่าสุดเมื่อไหร่กัน ?
เหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่มักจะถูกลืม ด้วยเหตุผลประกอบที่ว่า ‘ไม่มีเวลา’
บารัค โอบาม่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เคยออกมาพูดถึงการบริหารเวลาของเขาในสมัยทำหน้าที่ หลายคนคงนึกภาพออกว่าการเป็นประธานาธิบดี กิจกรรมของทุกวันแทบไม่เคยได้หยุดพัก
แต่สำหรับเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2009 มันแตกต่างออกไป
โอบามา เริ่มต้นกิจกรรมแรกของวัน ด้วยการออกกำลังกายก่อนไปทำงาน และใช้เวลา 1 ชั่วโมงแรกของการทำงานด้วยการจัดเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำในวันนั้น จากนั้นจึงปฏิบัติภารกิจตามตารางนัดหมายต่อไป
และในช่วงเวลา 6 โมงเย็นของทุกวัน เขาจะกลับมาทานอาหารที่บ้านกับครอบครัวและลูกๆของเขา หลังจากนั้นค่อยกลับไปเคลียร์งานต่อ ก่อนที่สุดท้ายเขาจะอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มพูลความรู้ในทุกคืนก่อนนอนเสมอ
บารัค โอบาม่า ถือเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องในเรื่องจัดการเวลาได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ใช่เพราะเขามีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกับผู้คนทั่วโลก และไม่ใช่เพราะ เขาเคยเป็นประธานาธิบดี
แต่เพราะไม่ว่าหน้าที่ของเขาจะมากมายเพียงใด ปัญหาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ที่รอการแก้ไข เรื่องน่าปวดหัวก็มีให้รำคาญใจอยู่แทบทุกนาที แต่เขาก็ไม่เคยละทิ้งความสำคัญของคนในบ้านไปแม้แต่นิดเดียว
ซึ่งจุดนี้ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้ว ทุกคนมีเวลาเท่ากัน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มีชื่อเสียงมากแค่ไหน ฉลาดเป็นกรดมากเท่าใด อยู่ที่ว่าใครจะใช้เวลาของตัวเองได้คุ้มค่า และลงตัวกับชีวิตได้มากที่สุด
การสังเกตและรอบรู้สิ่งรอบตัวไปเสียทุกอย่าง แน่นอนมันคือเรื่องที่ดีไม่มีใครเถียง แต่จะดียิ่งกว่า ถ้าหนึ่งในนั้นคือ การเริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆในบ้านของคุณเอง
เพราะต้องอย่าลืม ว่าบ้านที่เราอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่สถานที่ให้พักอาศัยเพียงอย่างเดียว แต่ที่นี่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ยิ่งใครที่อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ คงเข้าใจคำนี้ดี ทุกส่วนของบ้านปกคลุมด้วยเปลวไฟแห่งความสุข ทั้งจากรอยยิ้ม มิตรภาพ ครอบครัว เพื่อน สัตว์เลี้ยง ต้นไม้ หรือแม้แต่ ตัวเราเอง ก็ผ่านช่วงเวลานี้กันมาทั้งนั้น
ถ้าหากเพียงแค่บ้านของเรา ยังดูแลได้ไม่ดี แล้วชีวิตเราจะดูแลใครได้ รวมถึง ใครจะอยากมาดูแลชีวิตเราไปตลอด จริงไหม ?
จำได้ไหม ว่าเมื่อวัยเยาว์ เรามักจะบอกตัวเองบ่อยครั้ง ว่าเมื่อวันใดวันหนึ่งมาถึง เราจะดูแลคนที่เรารักทุกคนให้สุดความสามารถเท่าที่เราจะทำได้ แต่จะทำได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องเล็กน้อยกว่านั้น เรายังมองข้ามมันเลย
ขอร้องเถอะ อย่าแก้ตัวให้ตัวเองอีกเลย เลิกเอาเหตุผลร้อยแปดมาอ้าง เพื่อบั่นทอนความผิดเหล่านี้ ให้เหมือนถูกลดโทษกึ่งหนึ่ง จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดมากไปกว่านี้
จงยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากความขี้เกียจของตัวเองที่มันมีมากเกินไป ทุกคนรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถึงเวลาหรือยังที่ต้องรักสิ่งที่เรามี เพราะหากเรารักบางอย่างมากพอ สิ่งนั้นก็จะรักคุณกลับเช่นกัน
เมื่อทุกอย่างเข้าที่ ความคิดความอ่านทั้งหลายลงตัว ก็จงแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนบางอย่าง
และเป็นตัวเราในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้นเสมอ