ปัจจุบันมีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโรคร้าย COVID-19 เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน การเมืองที่ไร้ซึ่งเสถียรภาพ ความขัดแย้ง การแบ่งพรรคแบ่งพวก ดราม่าในสังคม การว่างงาน ฯลฯ
แน่นอน ปัญหาเหล่านี้คงจะทำให้คุณเครียดกันไม่น้อย แต่ถ้าคุณไม่อยากจะเครียดด้วยปัญหาซ้ำ ๆ ซาก ๆ แบบนี้ละก็ การฝึกสมาธิ ช่วยคุณได้
การฝึกสมาธิ (Meditation) สามารถกำจัดความเครียดที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้ ทั้งยังทำให้จิตใจสงบ และคุณสามารถฝึกสมาธิได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกโอกาสที่คุณต้องการ
ถ้าปัญหาในสังคม รวมถึงปัญหาส่วนตัวทำให้คุณวิตกกังวลหรือตึงเครียดอยู่ละก็ ให้คุณลองฝึกสมาธิดู การฝึกสมาธิเพียงไม่กี่นาทีสามารถทำให้จิตใจของคุณสงบลงได้ และช่วยลดความเครียดลงได้
ใคร ๆ ก็สามารถฝึกสมาธิได้ เพราะฝึกง่าย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งยังไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษใด ๆ นอกจากนี้ คุณสามารถฝึกสมาธิได้ทุกที่ ไม่ว่าคุณจะออกไปเดินเล่น นั่งรอรถเมล์ หรือแม้แต่กำลังประชุมกับเจ้านาย
ถ้าคุณเริ่มสนใจแล้ว ลองมาทำความเข้าใจการฝึกสมาธิกันก่อนดีกว่า
การฝึกสมาธิเป็นสิ่งที่ทำกันมานับพันปีแล้ว แต่เดิมการฝึกสมาธิมีขึ้นเพื่อช่วยให้มนุษย์เข้าถึงพระเจ้าหรือพลังอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ปัจจุบัน การทำสมาธิเป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อการผ่อนคลายและช่วยลดความเครียด
การฝึกสมาธินับว่าเป็น “ยา” ที่ช่วยส่งเสริมทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้เราผ่อนคลายและจิตใจสงบมากขึ้น แต่ระหว่างการฝึกสมาธิ คุณควรจะมีสมาธิและมุ่งความสนใจไปที่การฝึกสมาธิเพียงอย่างเดียว การคิดอะไรที่สับสนวุ่นวายอยู่ในหัวอาจทำให้จิตใจของคุณสับสนวุ่นวายไปด้วยและก่อให้เกิดความเครียดได้
การฝึกสมาธินอกจากจะทำให้รู้สึกสงบ ผ่อนคลายความเครียด และทำให้เกิดความสมดุลทั้งด้านร่างกายและจิตใจแล้ว ยังช่วยให้สมองและจิตใจของคุณสงบนิ่งตลอดทั้งวัน ทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้น รวมทั้ง
- ได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียด
- เพิ่มทักษะในการจัดการความเครียด
- ตระหนักรู้ในตนเองมากขึ้น
- โฟกัสที่ปัจจุบัน
- ลดอารมณ์ด้านลบ
- สร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
- เพิ่มความอดทนและความเข้มแข็ง
นอกจากนี้ การฝึกสมาธิยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่าง ๆ ได้
จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากชี้ให้เห็นว่าการฝึกสมาธิมีประโยชน์ต่อสุขภาพและลดการเกิดโรคได้ และงานวิจัยบางงานยังชี้ให้เห็นอีกว่า การฝึกสมาธิช่วยลดการเกิดอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น
- ความวิตกกังวล
- หอบหืด
- มะเร็ง
- ปวดเรื้อรัง
- ภาวะซึมเศร้า
- โรคหัวใจ
- ความดันโลหิตสูง
- อาการลำไส้แปรปรวน
- ปัญหาการนอนหลับ
- ปวดหัว
แล้วเราจะสามารถฝึกสมาธิกันได้อย่างไรล่ะ?
การฝึกสมาธิเป็นกิจกรรมในร่มที่ปฏิบัติเพื่อการผ่อนคลายและเน้นไปที่การทำให้จิตใจภายในสงบ การฝึกสมาธิมีหลายรูปแบบ ดังนี้
การฝึกสมาธิแบบมีครูผู้สอน บางครั้งอาจเรียกว่า “จินตภาพ” หรือ “การสร้างภาพ” คุณต้องสร้างภาพในหัวของคุณ อาจเป็นสิ่งของหรือสถานที่ที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย คุณต้องพยายามใช้ประสาทสัมผัสให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรูป กลิ่น เสียง และสัมผัส โดยมีไกด์หรือครูผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะแนวทางขณะฝึกสมาธิ
การฝึกสมาธิแบบมันตรา หรือ การสวดมนต์ ผู้ปฏิบัติต้องท่องบทสวด คำ หรือวลีซ้ำ ๆ เพื่อไม่ให้ความคิดฟุ้งซ่านและทำให้เกิดสมาธิ
การเจริญสติ การฝึกสมาธิรูปแบบนี้มีพื้นฐานมาจากการมีสติ การอยู่กับปัจจุบัน การตระหนักรู้ในตนเอง การจดจ่ออยู่กับสิ่งที่คุณประสบพบเจอระหว่างการฝึกสมาธิ เช่น การหายใจเข้าออก คุณต้องสังเกตความคิดและอารมณ์ของคุณ และรู้จักปล่อยวางโดยไม่ตัดสิน
ชี่กง เป็นการฝึกสมาธิแบบแพทย์แผนจีน โดยทั่วไปแล้วจะเป็นการฝึกสมาธิ การผ่อนคลาย การเคลื่อนไหวร่างกาย และการฝึกการหายใจไปพร้อม ๆ กัน เพื่อฟื้นฟูและรักษาสมดุลของร่างกาย
ไทเก็ก เป็นศิลปะการป้องกันตัวแบบจีนอย่างหนึ่ง เป็นการทำท่าทางหรือเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ พร้อมไปกับการฝึกหายใจ
การฝึกสมาธิแบบล่วงพ้น (Transcendental Meditation) เป็นการฝึกสมาธิที่ใช้เทคนิคที่เรียบง่าย แค่นั่งหลับตาให้จิตใจสงบลง แล้วปล่อยให้ความคิดละเอียดอ่อนลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น จนความคิดนั้นกลับไปหาแหล่งกำเนิดของความคิดอีกครั้งหนึ่ง วิธีนี้จะทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะของการพักผ่อนและผ่อนคลายมากย่ิ่งขึ้น
โยคะ เป็นการออกกำลังกายด้วยท่าทางต่าง ๆ และฝึกการหายใจเพื่อให้ร่างกายยืดหยุ่นและจิตใจสงบ ยิ่งเคลื่อนไหวในท่าที่ต้องใช้ทักษะการทรงตัวสูง คุณก็ยิ่งมีสมาธิมากยิ่งขึ้น
การฝึกสมาธิในรูปแบบต่าง ๆ อาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของครูผู้สอน วัตถุประสงค์ และตัวของคุณเอง แต่โดยรวมแล้ว การฝึกสมาธิจะมีองค์ประกอบดังต่อไนี้
การเพ่งสมาธิ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการฝึกสมาธิ การมุ่งความสนใจไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำให้จิตใจปราศจากสิ่งรบกวนที่ก่อให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวล คุณอาจมุ่งความสนใจไปที่สิ่งต่าง ๆ เช่น วัตถุ รูปภาพ การสวดมนต์ หรือแม้แต่การหายใจ
การหายใจ การหายใจลึก ๆ อย่างสม่ำเสมอโดยใช้กล้ามเนื้อกะบังลมเพื่อให้ปอดของคุณขยายมากขึ้น ทำให้คุณหายใจช้าลง สามารถรับออกซิเจนได้มากขึ้น ช่วยลดการใช้กล้ามเนื้อไหล่ คอ และหน้าอกส่วนบนขณะหายใจ เพื่อให้คุณหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สถานที่ที่เงียบสงบ ถ้าคุณเป็นมือใหม่ที่เพิ่งฝึกสมาธิ การคุณอยู่ในที่เงียบ ๆ จะทำให้คุณฝึกสมาธิได้ดีกว่า และไม่ควรมีสิ่งรบกวนใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงโทรทัศน์หรือโทรศัพท์มือถือ แต่ถ้าคุณมีความชำนาญในการฝึกสมาธิแล้ว คุณสามารถฝึกสมาธิได้ทุกที่ทุกโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่มีความเครียดหรือความกดดันสูง เช่น รถติด การประชุมเรื่องงาน หรือการต่อแถวยาว ๆ ที่ร้านขายของ
ท่าที่สบายที่สุด คุณสามารถฝึกสมาธิได้ ไม่ว่าจะนั่ง นอน เดิน อยู่ในท่าหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ พยายามทำตัวให้สบายเพื่อให้คุณได้ประโยชน์สูงสุดจากการฝึกสมาธิ คุณควรจัดท่าทางให้ดีระหว่างการฝึกสมาธิ
เปิดใจให้กว้าง ปล่อยให้ความคิดผ่านเข้ามาในจิตใจของคุณโดยไม่ตัดสิน
ถ้าคุณอยากฝึกสมาธิ อย่าเอาแต่สนใจว่าคุณจะทำถูกหรือผิด ทำน้อยหรือทำมาก เพราะมันจะทำให้คุณเป็นกังวลได้ คุณอาจฝึกสมาธิกับผู้ที่เชี่ยวชาญหรือฝึกด้วยตัวเอง
คุณสามารถฝึกสมาธิได้ทั้งแบบจริงจังหรือแบบง่าย ๆ ตามแต่ที่คุณต้องการ เลือกที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ บางคนอาจฝึกสมาธิทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง หรือบางคนอาจฝึกอาทิตย์ละเพียงไม่กี่นาที แต่สิ่งที่คุณต้องมีจริง ๆ ก็คือ คุณภาพในการฝึกสมาธิ
ต่อไปนี้คือวิธีการฝึกสมาธิที่คุณสามารถทำได้ด้วยตนเอง
หายใจลึก ๆ เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นฝึกสมาธิ เพราะการหายใจเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำเป็นอยู่แล้ว แรกเริ่มขณะฝึกสมาธิ คุณอาจจะยังคิดฟุ้งซ่านอยู่บ้าง แต่เมื่อคุณเพ่งสมาธิไปที่การหายใจเข้าออกทางรูจมูก หายใจเข้าลึก ๆ และหายใจออกช้า ๆ คุณจะเริ่มมีสมาธิมากขึ้น แล้วจึงค่อย ๆ โฟกัสไปที่การหายใจของคุณ
เพ่งความสนใจไปที่ร่างกายของคุณ ให้มุ่งเน้นความสนใจไปที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย พยายามรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด ความตึงเครียด ความอบอุ่น หรือการผ่อนคลาย และทำพร้อม ๆ ไปกับการฝึกหายใจ
สวดมนต์ คุณอาจสวดมนต์ไปพร้อม ๆ กับการฝึกสมาธิก็ได้ ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาใดก็ตาม คุณสามารถใช้บทสวดของศาสนาที่คุณนับถือควบคู่ไปกับการฝึกสมาธิ ซึ่งจะช่วยให้คุณมีสมาธิมากขึ้นและช่วยลดความฟุ้งซ่านลงได้
เดินหรือนั่งสมาธิ การฝึกสมาธิด้วยการเดินหรือเดินจงกรมเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและดีต่อสุขภาพ เพราะช่วยทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย คุณสามารถฝึกได้ทุกที่ เช่น ในป่าอันเงียบสงบ บนทางเท้าในเมือง หรือที่ห้างสรรพสินค้า
ถ้าคุณเลือกใช้วิธีนี้ ให้ชะลอฝีเท้าลงเพื่อให้คุณสามารถเพ่งสมาธิไปที่การเคลื่อนไหวของขาหรือเท้าในแต่ละครั้ง และพูดในใจว่า “ยก” ขณะที่คุณยกเท้าแต่ละข้าง “ก้าว” ขณะที่คุณขยับขาก้าวไปข้างหน้า และ “วาง” ขณะที่คุณวางเท้าลงบนพื้น
อย่าคิดว่าการฝึกสมาธิเป็นเรื่องยุ่งยาก จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว เพียงแต่ต้องอาศัยการฝึกฝนและความสม่ำเสมอ
ตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องปกติที่คุณจะคิดฟุ้งซ่านหรือคิดสะเปะสะปะระหว่างการฝึกสมาธิ ไม่ว่าคุณจะฝึกสมาธิมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม ถ้าคุณกำลังฝึกสมาธิเพื่อทำให้จิตใจสงบ แต่จิตใจและความคิดของคุณไม่อยู่นิ่ง ให้ค่อย ๆ กลับไปยังสิ่งที่คุณกำลังเพ่งสมาธิอยู่
คุณอาจจะลองฝึกสมาธิหลาย ๆ รูปแบบก่อนก็ได้ คุณจะพบเองว่าการฝึกสมาธิแบบไหนที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด แล้วค่อยปรับตามความต้องการของคุณ
จำไว้ว่าการฝึกสมาธิไม่มีถูกหรือผิด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของการฝึกสมาธิก็คือ ช่วยลดความเครียด ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้าย และทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้
อ้างอิง:
Meditation: A simple, fast way to reduce stress จาก https://mayocl.in/3cWYJFI
ประโยชน์ของการนั่งสมาธิ จาก https://bit.ly/319csGW
การทำสมาธิแบบล่วงพ้น (Transcendental Meditation) จาก https://bit.ly/3o1nwyZ
. . .
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
แปลและเรียบเรียงโดย: ปิ่นแก้ว ศิริวัฒน์
กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels