นานมาแล้ว เคยมีชายคนหนึ่ง เขาคือคนดีมาก ไม่ว่าใครมีเรื่องราวทุกข์ร้อนในใจอะไรก็ตาม เขาพร้อมยื่นมือเข้าไปช่วยเสมอ ถึงแม้เรื่องนั้นจะใหญ่หรือเล็กแค่ไหน หากเป็นสิ่งที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงเขา ขอแค่บอกมาก็ยินดีจะช่วย จนเป็นที่รักของใครหลายคน
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ตัวของชายคนนี้ต้องประสบปัญหาครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา เขาท้อแท้และสิ้นหวังเป็นที่สุด และที่แย่ไปกว่านั้น เมื่อมองไปรอบข้างกลับพบว่า ไม่มีใครยืนอยู่ข้างๆตัวเขาเลย
ยิ่งทำให้เขาน้อยใจและอดคิดไม่ได้ว่า เพราะอะไรกัน ทั้งๆที่เราช่วยคนอื่นไว้มากมายแท้ๆ แต่พอถึงวันที่เราลำบากไฉนถึงไม่มีใครพร้อมยื่นมืออยู่กับเราตอนย่ำแย่เลย
ชายคนนี้เก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ แล้วตัดสินใจเดินไปหาคุณลุงที่เขานับถือคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เขารู้สึกไม่สบายใจก็มักจะมีลุงเป็นที่พึ่งอยู่เสมอ เมื่อเจอเขาตั้งคำถามประโยคแรกว่า “คนเราจะทำดีไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายก็ไม่ใครเห็นความดีของเราอยู่ดี”
ถ้าเจอปัญหาในลักษณะเดียวกัน คุณจะคิดแบบชายคนนี้หรือเปล่า ?
คุณลุงด้วยความที่เห็นชายคนนี้มาตั้งแต่เด็ก เขาเข้าใจดีกว่าใครๆว่าความรู้สึกข้างในของชายคนนี้ เป็นอย่างไร เต็มไปด้วยความสับสน น้อยอกน้อยใจ และอีกสารพัดที่พูดออกมาไม่ได้
คุณลุงบอกชายคนนั้นว่า สาเหตุที่เป็นแบบนี้ เพราะว่าเราไปทำดีเพื่อหวังผลตั้งแต่แรกไง ทุกครั้งที่ใครมีเรื่องราวอะไรอยากให้ช่วย เราพร้อมช่วยเต็มที่ โดยลึกๆในใจก็หวังว่าถ้าวันหนึ่งเราล้มเหลวบ้าง คนเหล่านี้ก็จะหวนกลับมาช่วยเราเหมือนกัน
ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ผิดร้ายแรงหรอกนะ เพราะจริงๆแล้วเราเป็นคนจิตใจดี เราไม่อยากเห็นใครต้องไม่สบายใจ เพราะว่ารู้ดีว่าถ้ามีปัญหาแล้วหาทางออกไม่เจอ ชีวิตก็คงจะมืดมนแค่ไหน
แต่การเอาใจไปฝากที่ใครมากเกินไปก็คงไม่ดีใช่ไหม ทุกอย่างต้องอยู่ที่การรับมือให้เป็น ทุกคนไม่มีใครพร้อมจะช่วยเราตลอดเวลาได้เท่ากับตัวเราเองแล้ว เดี๋ยวลุงจะเล่าเรื่องของใครคนหนึ่งให้ฟัง
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เกิดและเติบโตในย่านที่อุตสาหกรรมด้านไอที ทุกวันเขาต้องมองเห็นและได้ยินเสียงพนักงานด้านเทคโนโลยีคุยกันถึงเรื่องราวของไอทีกันเสมอ นานวันเข้าก็เริ่มซึมซับเข้าไปทุกที ทำให้รู้ตัวอีกทีเขาก็หลงรักสิ่งนี้ไปไม่รู้ตัว
กระทั่งโตขึ้นเรื่อยๆตามวัย ความรู้จากการศึกษาเพิ่มเติมและสังเกตจากสิ่งรอบข้างก็ทวีคูณขึ้น แม้ว่าเรื่องการศึกษานั้นต้องมีจุดให้เขาได้พักเอาไว้ก่อน เพราะด้วยปัจจัยเรื่องค่าใช้จ่าย ทำให้เขาต้องยอมตัดโอกาสทางเลือกเพื่อโฟกัสไปที่สิ่งที่ชอบอย่างเดียว
นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มสมาคมผู้ที่สนใจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อจะเก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มเติมจากที่นี่ไปให้ได้มากที่สุด จนได้เข้าไปทำงานกับผู้ผลิตวีดิโอเกมรายหนึ่ง
ต่อมาเขาก็ได้รับมอบหมายให้ออกแบบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ เพื่อแลกกับโบนัสเพิ่มเติม แต่เพราะเขาไม่ถนัดเท่าไหร่จึงไปปรึกษาเพื่อนให้เข้ามาช่วยแล้วแบ่งโบนัสเท่ากัน จนในที่สุดพวกเขาก็ทำสำเร็จและตกลงแบ่งโบนัสกันไว้ตามที่ตกลง
ซึ่งจากเรื่องดังกล่าวทำให้สองเพื่อนซี้ คิดจะสร้างผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นของตัวเอง ด้วยความที่มีความสามารถทั้งคู่ จึงตัดสินใจทำขึ้นมา แม้กิจการจะทำกำไรได้เหมือนกัน แต่มันก็ผิดกฎหมายอยู่บ้างทำให้ทั้งคู่ต้องหลบๆซ่อนๆแทบตลอดเวลา
ในที่สุดทั้งคู่ก็ตัดสินใจลงทุนลงแรงตั้งบริษัทขึ้นมา โดยใช้โรงรถข้างบ้านเป็นออฟฟิศไปก่อน คนหนึ่งออกแบบสินค้า อีกคนหนึ่งก็ทำการตลาด และใช้เวลาไม่นาน พวกเขาก็ขายจนหมดให้กับคนในชุมชนแถวนั้น
อีกไม่กี่ปีผ่านมา พวกเขาทำการสร้างผลงานต่อเนื่องและปรับโครงสร้างให้เจ๋งกว่าเดิมเป็นไหนๆ เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในยุคนั้นเลยทีเดียว ธุรกิจเติบโตขยายอย่างรวดเร็ว จนถึงขั้นเปิดขายหุ้นให้กับบุคคลภายนอกได้หลายล้านหุ้น ทำมูลค่าสูงขึ้นทุกวินาที ทั้งสองคนก็กลายเป็นเศรษฐีหนุ่มหน้าใหม่ในชั่วข้ามคืน
แต่แล้วทุกคนก็ต้องมีช่วงเวลาแย่กันทั้งนั้น เมื่อหนึ่งในสองคนนี้เกิดมีปัญหาขึ้นมาในชีวิต ส่งผลต่องานเข้าอย่างจัง เมื่อโปรเจ็คที่เขาดูแลอยู่ต้องเกิดข้อผิดพลาดบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้เกิดปัญหาภายในทีมจนสุดท้ายทุกคนลงมติกันว่าต้องถอดชายคนนี้ออกจากโปรเจ็คนี้ไปก่อน
ถอดจากโปรเจ็คว่าแย่แล้ว ยังมีที่ย่ำแย่ยิ่งกว่า เพราะเมื่อชายคนนั้นทำการเข้าร่วมกับองค์กรที่ขึ้นชื่อเรื่องเทคโนโลยีอยู่แล้วและใช้เงินจำนวนพอสมควรในการซื้อโฆษณาในแหล่งที่น่าจะทำเงินได้ดีแบบกระฉูด แต่กลับตรงกันข้ามยอดขายไม่ขึ้นตามที่ตั้งใจ
ความรู้สึกภายในทีมเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ ทุกคนมองว่าชายคนนั้นทำงานด้วยยาก เป็นคนอารมณ์ร้อน ขืนปล่อยต่อไปจะต้องมีปัญหาแน่ เลยประชุมครั้งสำคัญและประกาศให้ทราบกันว่าจะบีบให้ชายคนนี้ต้องลาออก ทั้งที่เขาสร้างมันขึ้นมากับมือด้วยซ้ำไป
ด้วยความที่จิตใจไม่ยอมแพ้แม้จะบอบช้ำเพียงใด ชายคนนี้ตัดสินใจสู้ต่อ เขาดึงตัวพนักงานฝีมือดีจากบริษัทเก่าที่เขาถูกบีบให้ออก มาจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา ด้วยความตั้งใจที่จะพัฒนาให้ดีกว่าที่เก่าในทุกด้าน เขาซื้อตัวทีมงานฝีมือดีจากทั่วทุกวงการมาทำงานในบริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของเขา เพื่อทำให้โครงสร้างแข็งแรงพร้อมต่อกรกับทุกบริษัท
จนในที่สุดเวลาผ่านไป 12 ปี ทางบริษัทเก่าก็ยื่นซื้อกิจการของชายคนนี้ ด้วยความที่อยากได้เข้ามาบริหารอีกครั้ง ทำให้ชายคนนี้ได้กลับไปจุดเริ่มต้นของเขาเพื่อหวังจะยกระดับให้เติบโตขึ้น มันเป็นความรู้สึกที่ชนะของชายคนนั้นแล้ว เพราะจากวันที่ต้องบังคับให้ออก ในวันนี้กลับต้องขอให้กลับมาช่วย ซึ่งพอความรู้สึกเดิมๆกลับมา มันคือตัวตนที่แท้จริง เขาก็ได้กลับมาพัฒนาตัวเองมากขึ้น จนถึงปัจจุบันก็กลายเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีไปแล้ว เพราะเรากำลังพูดถึง บริษัท Apple และแน่นอนว่าชีวิตของชายที่เล่าต้องเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ สตีฟ จ็อบส์
เรื่องราวของเจ้าของฉายา พ่อมดแห่งวงการไอที ผู้นี้เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก แม้วันนี้เขาจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แต่ชื่อของเขาจะคงอยู่ไปตลอดกาล และแม้ว่าจะถูกยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์มากแค่ไหน แต่ทุกคนก็ล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดา มีขึ้นก็ต้องมีลงเป็นปกติตามวิถี
เมื่อฟังเรื่องเล่าจากคุณลุงจบลง ชายคนนั้นก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ไม่มีใครได้ในสิ่งที่ต้องการทุกครั้งหรอก ผิดหวังบ้างก็ดีทำให้ได้ทบทวนตัวเอง แล้วช่วยเหลือคนอื่นอย่างเหมาะสม เพราะสุดท้ายคนที่ต้องสนใจมากที่สุดคือตัวเราเอง
ถึงแม้จะเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่ความรู้สึกน้อยใจคงเขาที่ไม่มีใครคอยซัพพอร์ตก็ยังมีค้างในใจ แต่เขาให้คำมั่นสัญญากับตัวเองว่าจะไม่หยุดช่วยเหลือคนอื่นเด็ดขาด และจะไม่สนด้วยว่าสิ่งที่ช่วยไปจะได้กลับมาเร็วหรือช้าแค่ไหน
ที่สำคัญคือขอให้ได้ช่วย แค่นั้นก็เป็นแรงใจให้ชีวิตกล้าทำสิ่งดีๆต่อไป แล้วสักวันคนจะเห็นคุณค่าของเราเหมือนที่ สตีฟ จ็อบส์ ได้เคยทำไว้แบบนั้นแน่..
..
เรียบเรียงโดย: กฤตเมธ อันสมัคร
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก Pexels