คุณคิดว่านิยามแบบไหนที่หมายถึงการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า?
ในวัยเด็กคุณอาจจะต้องทุ่มเทเวลามากกว่าครึ่งสัปดาห์ไปกับการเรียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ หรือบางครั้งอาจจะต้องใช้เวลามากกว่าสิบชั่วโมงต่อวันในการก้มหน้าอ่านหนังสืออีกหลายเล่มเพียงเพราะสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่จำความได้ก็คือคำว่า “หน้าที่ของเด็กคือการเรียน” แม้ว่าบ่อยครั้งความเป็นเด็กจะถูกมองว่าเป็นอิสระโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยแต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วความรับผิดชอบที่มองไม่เห็นกลับกลายเป็นความคาดหวังของผู้ใหญ่ต่างหาก แล้วชีวิตในวัยเด็กที่ถูกวางกรอบไว้แบบนี้เรียกว่าใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าไหม? คำตอบของหลายคนที่เป็นไปในทางเดียวกันก็คือ…ไม่ ฉะนั้นเมื่อถึงช่วงชีวิตหนึ่งที่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองแล้วคนเราก็มักจะตั้งคำถามว่าตั้งแต่เกิดมาได้ทำตามใจตัวเองหรือได้ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นแล้วหรือยัง?
มันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าหากว่าวันหนึ่งได้ละทิ้งสิ่งที่ต้องแบกรับมากว่าครึ่งชีวิตของการเป็นวัยรุ่นลงแล้วออกไปใช้ชีวิตในแบบของตัวเองที่คิดว่าคุ้มค่ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวให้สนุกสุดเหวี่ยงกับช่วงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยหรือการใช้เงินอย่างบ้าคลั่งเพื่อซื้อความสุขให้กับตัวเอง แต่การตัดสินใจปลดภาระและความรับผิดชอบลงเพียงชั่วคราวก็มักจะมีเส้นบาง ๆ กั้นไว้ระหว่างคำว่าลืม ๆ ไปก่อนกับการหลงลืมไปอย่างจริงจัง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
แล้วหลงลืมอะไรล่ะ… หน้าที่ความรับผิดชอบหรือความหมายที่แท้จริงของการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า
ความคุ้มค่าคือสิ่งที่ทำแล้วไม่เสียดาย แม้แต่การจ่ายเงินให้กับการซื้อความสุขในแบบของตัวเองก็ยังถูกมองว่าเป็นหนึ่งในความคุ้มค่าของการใช้ชีวิต แต่ทว่าหากเป็นการจ่ายจนพาชีวิตไปสู่ช่วงพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เสียทุกอย่างที่เคยมีทั้งเวลาและทรัพย์สิน สิ่งเหล่านี้จะยังสามารถเรียกว่าเป็นการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าอยู่หรือเปล่า?
คุณเล็ก อรุณ เป็นหนึ่งในคนที่ต้องตอบคำถามนี้กับตัวเองอีกครั้งเมื่อความสุขในชีวิตของเขาต้องแลกกับการเอาบ้านที่เป็นทรัพย์สินของแม่เข้าขายฝากจำนองกับแหล่งเงินทุนแห่งหนึ่งเพื่อให้มีเงินมาซื้อความสุขที่คิดว่าตัวเองยังมีไม่พอหรือน้อยเกินกว่าที่ควรจะได้รับในช่วงชีวิตของการเป็นวัยรุ่น พอช่วงเวลาของความสุขที่ซื้อมานั้นหมดลงก็ต้องกลับมาพบกับความจริงที่ว่าตัวเองนั้นกำลังตกอยู่ในสภาวะของคนที่เป็นหนี้ทั้งยังต้องแบกรับดอกเบี้ยปีละมากกกว่า 20% ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้นก็กลายเป็นจุดพลิกผันที่เปลี่ยนให้คนคนหนึ่งกลายมาเป็นคนติดลบด้วยความคิดที่ว่าเขาควรจะใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า
ถ้าคุ้มจริงจะไม่รู้สึกเสียดาย…
แล้วทำไมคุณเล็กถึงยังรู้สึกเสียดายบ้านที่ตัวเองเอาเข้าจำนองไว้ล่ะ?
สุดท้ายเมื่อรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นที่แลกมาไม่ใช่ความคุ้มค่าจึงต้องหันหน้าเข้าหาแหล่งเงินทุนขายฝากอีกครั้งเพื่อหาลู่ทางให้ตัวเองได้บ้านตัวเองคืน แต่ทว่าในความพลิกผันที่พาไปสู่จุดที่ตกต่ำของชีวิตก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับช่วงเวลาที่ทำให้เห็นโอกาสนั่นก็คือการทำอาชีพ “นายหน้าขายฝาก”
คลิกที่รูปภาพเพื่อสั่งซื้อหนังสือ
หากพูดถึงจุดเริ่มต้นหลายคนคงจะนึกไปถึงการเริ่มนับหนึ่งเพราะเป็นจำนวนนับหลักแรกหรือไม่ก็คงเป็นเลขศูนย์เพื่อเป็นการเปรียบเทียบว่าพวกเขาเริ่มมาจากจุดที่ไม่มีอะไรเลย แต่อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ใช่กฎที่ตายตัวเสมอไปเพราะในขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีแค่คนที่เริ่มต้นจากศูนย์หรือเริ่มต้นจากหนึ่งเสมอไป แม้แต่ตัวคุณเล็ก อรุณ เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องเริ่มจากจุดที่ติดลบทั้งความรู้และเครดิต อาจจะเป็นหลักหน่วยถึงหลักสิบหรือหลักร้อยเลยก็ได้ ถึงแม้ว่าการเริ่มต้นไม่ได้สวยหรูแต่การเปิดใจเรียนรู้กลับเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนตัวเปล่าแถมหนี้เต็มบ่าและบ้านติดจำนองหนึ่งหลังได้ก้าวขึ้นมาทีละขั้นจากการเป็นนายหน้าที่ไม่มีประสบการณ์สู่การเป็นคนที่ฟันขาดทุกการประเมินราคาสินทรัพย์
สำหรับคุณเล็กแล้วการใช้เงินอย่างสุดโต่งและหลุดโลกเพื่อซื้อความสุขอาจจะเป็นเพียงสีสันในช่วงเวลาหนึ่งของการใช้ชีวิตแต่การสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและสามารถสร้างมูลค่าให้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าต่างหากที่เรียกว่าคุ้มค่า
คุ้มค่าที่จะใช้เวลาไปกับมัน
คุ้มค่าที่จะเสี่ยงเพื่อมัน
และคุ้มค่าเมื่อผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาไม่ได้ทำให้รู้สึกเสียดาย
เมื่อรู้ว่าเป้าหมายในชีวิตจะต้องเดินไปในทิศทางไหนจึงเป็นช่วงเวลาสำคัญในการตัดสินใจพลิกบทบบาทของตัวเองอีกครั้งสู่การเป็น “นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์มือสองที่มีทรัพย์ผ่านมือมาแล้วกว่า 200 รายการ”
ร่วมติดตาม 10 เส้นทางความสำเร็จจากอสังหามือสองของ คุณเล็ก อรุณ โดยเพจเพื่อนแท้ เร็ว ๆ นี้
เรียบเรียงโดย: ศุภธิดา รัสพันธ์
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Freepik