คุณรู้จักชาวยิวหรือไม่?
ชาวยิวเป็นกลุ่มคนเชื้อชาติหนึ่งที่มีอิทธิพลในด้านธุรกิจของโลก ไม่ว่าจะเป็น จอห์น ร็อกเกอร์เฟลเลอร์ ราชาน้ำมันผู้ยิ่งใหญ่ (John เจ.พี.มอร์แกน (J.P. Morgan) นักการเงินและนายธนาคารผู้ยิ่งใหญ่ อาร์มานด์ แฮมเมอร์ (Armand Hammer) นักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerburg) ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก
แล้วอะไรที่ทำให้ชาวยิวประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้
มีนิทานยิวเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นที่แพร่หลายอย่างมาก

Photo by cottonbro from Pexels
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีชายหนุ่มสองคนชื่อ Gross และ Erlich พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันและเป็นเพื่อนสนิทกัน เนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทที่อยู่ห่างไกล ทำให้การดำรงชีพเป็นเรื่องที่ยากลำบาก พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะอพยพไปอยู่ที่อื่น ชายหนุ่มทั้งสองคนตัดสินใจขายบ้าน ที่ดิน และทรัพย์สินทุกอย่าง ยกเว้นลาตัวหนึ่งที่พวกเขาจะพามันไปด้วย
สถานที่แรกที่พวกเขาไปถึงคือโรงงานผลิตผ้าลินิน Erlich ได้บอกกับ Gross ว่า “เมืองของเรา ผ้าลินินมีค่ามาก ถ้าเรานำเงินไปแลกกับผ้าลินิน แล้วนำกลับไปขายที่เมืองของเรา เราก็จะได้กําไรแน่นอน” Gross เห็นด้วย ชายหนุ่มทั้งสองจึงนำเงินไปแลกกับผ้าลินินแล้วนำไปผูกไว้บนหลังลา

Photo by Ekrulila from Pexels
สถานที่ต่อไป พวกเขาผ่านโรงงานผลิตหนัง ที่นี่ขาดแคลนผ้าลินิน Erlich จึงพูดกับ Gross ว่า “เมืองของเราหนังมีค่ามาก เราควรนำผ้าลินินไปแลกกับหนัง เราก็จะได้กำไรมากกว่า!”
แล้ว Gross ก็พูดว่า “ไม่จำเป็นหรอก ฉันผูกผ้าลินินบนหลังลาไว้ดีแล้ว ฉันไม่อยากแกะเชือกผูกออก!”
Erlich จึงนำผ้าลินินในส่วนของเขาไปแลกเปลี่ยนเป็นหนังและยังได้เงินเพิ่มอีก ส่วน Gross ยังมีแค่ลาตัวเดียวกับผ้าลินินที่ผูกไว้บนหลังของมัน
พวกเขาทั้งสองเดินทางผ่านไปยังแหล่งสมุนไพร ที่นี่อากาศค่อนข้างแปรปรวน ทั้งยังขาดแคลนหนังและผ้าลินิน Erlich พูดกับ Gross ว่า “เมืองของเรา สมุนไพรมีค่ามาก นายนำผ้าลินินไปแลกกับสมุนไพรสิ ส่วนฉันจะเอาหนังไปแลกกับสมุนไพร ถ้าเรานำสมุนไพรไปขายที่เมืองของเรา เราก็จะได้เงินมากมายแน่นอน”

Photo by Arina Krasnikova from Pexels
Gross ใช้มือตบกองผ้าลินินบนหลังลาเบา ๆ พลางกล่าวว่า “ฉันผูกผ้าลินินไว้บนลาแล้ว ยิ่งกว่านั้นเราก็เดินมาไกลมากแล้ว ถ้าแกะเชือกผูกออกต้องเกิดปัญหาแน่ๆ ” Erlich จึงนำหนังของเขาไปแลกกับสมุนไพรและยังได้เงินมาอีกจำนวนหนึ่ง ส่วน Gross ก็ยังมีแค่กองผ้าลินินและลาตัวเดียว
จากนั้นพวกเขาเดินทางผ่านแหล่งผลิตทองคำ ที่นี่ขาดแคลนทั้งผ้าลินินและสมุนไพร Erlich บอกกับ Gross ว่า “ราคาผ้าลินินและสมุนไพรที่นี่แพงมากแต่ทองคำมีราคาถูก ส่วนทองคำที่เมืองของเราแพงมาก เราน่าจะนำผ้าและสมุนไพรไปแลกเปลี่ยนเป็นทองคำ ชีวิตของเราก็จะไม่ลำบากอีกต่อไป”
Gross ปฏิเสธอีกครั้ง “ไม่เอาน่า ฉันผูกผ้าลินินไว้บนหลังลาแล้ว ฉันไม่อยากแกะมันออก” Erlich จึงนำสมุนไพรไปแลกเปลี่ยนเป็นทองคำอีกครั้งและได้เงินมาอีก ส่วน Gross ก็มีแต่ลากับผ้าลินิน
ในที่สุดพวกเขาสองคนก็กลับมาถึงเมืองของพวกเขา Gross นำผ้าลินินไปขายและได้กำไรมาเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความยากลำบากที่ Gross เสียไปนั้นไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย ส่วน Erlich นอกจากจะนำเงินกลับมาได้เป็นจำนวนมาก แต่ยังนำทองคำไปขายจนกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมือง

Photo by Caleb Oquendo from Pexels
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ไม่ควรดื้อดึง ปิดกั้นตัวเอง ยอมรับการเปลี่ยนแปลงและสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าคุณเป็นคนกระตือรือร้นและยอมรับการเปลี่ยนแปลง คุณจะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างที่คุณต้องเผชิญได้อย่างลุล่วง เพียงแค่เปลี่ยนมุมมองคุณจะสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ ให้กับชีวิตของคุณได้
นี่แสดงให้เห็นว่าชาวยิวได้รับการปลูกฝังทัศนคติในเรื่อการเงิน การหาเงิน และการทำธุรกิจค้าขายมานานแล้ว ชาวยิวถึงให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ราวกับเป็นศาสนาหนึ่งของพวกเขา จนกลายพวกเขากลายเป็นกลุ่มเชื้อชาติหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
นอกจากนิทานแล้ว ชาวยิวยังมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องเงิน ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 7 แนวคิดกับ 38 วิธี ที่คุณสามารถเรียนรู้และนำไปใช้ได้

Photo by Karolina Grabowska from Pexels
แนวคิดที่ 1: โลกคือตลาด เงินคือศาสดา
1. ความโหดร้ายในการแข่งขันทางการตลาดเป็นสิ่งแรกที่คุณต้องเจอ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันที่จะร่ำรวย คุณต้องยอมรับให้ได้ ไม่ใช่ยอมรับว่ามันโหดร้าย แต่เป็นสิ่งที่คุณต้องเอาชนะให้ได้
2. ถ้าคุณอยากหาเงินและอยากร่ำรวย ไม่ว่าจะคุณจะจนแค่ไหน จงอยู่ในท่ามกลางคนรวยจะดีที่สุด
3. ควบคุมอารมณ์ให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเจอกับอารมณ์โกรธ ใจเย็นๆ และนึกถึงเงินเข้าไว้
4. เวลาเป็นสินค้าประเภทหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนเงินได้
5. การใช้ประโยชน์ทางจิตวิทยาการและการเอาชนะใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการค้าขาย

Photo by nappy from Pexels
แนวคิดที่ 2: มุ่งเน้นการคิดเชิงกลยุทธ์ แต่อย่ายึดติดกับมัน
6. การทำธุรกิจ หากคุณฉลาดคุณก็จะมีรายได้เพียงเล็กน้อย แต่ถ้าลองเปลี่ยนความฉลาดให้เป็นสติปัญญา คุณจะสามารถหาเงินได้มากกว่า
7. รู้จักคำนวณเงินเพื่อที่จะได้รู้ว่าจะหาเงินอย่างไร
8. รู้จักพลิกแพลง ใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจใหม่ๆ
9. ในวิกฤตย่อมมีโอกาสอยู่เสมอ
10. ปัญญาคือ “ขุมสมบัติ” ของผู้ประกอบการ ความคิดที่ฉลาดๆ เท่านั้นที่จะเปลี่ยน “สิ่งของธรรมดา” ให้เป็นกลายเป็น “สินค้า” ได้

Photo by Adil from Pexels
แนวคิดที่ 3: ก่อนทําธุรกิจ ควรมีความเป็นมนุษย์ และในความเป็นมนุษย์คุณต้องมีปัญญา
11. ธุรกิจเริ่มต้นจากการส่งเสริมตัวเอง การสร้างแบรนด์ที่สมบูรณ์แบบ และเงินได้มาไม่ยากนัก
12. การทำธุรกิจที่ยึดมั่นในหลักการของความเป็นมนุษย์จะไม่ทำให้เกิดความผิดพลาด
13. การทำธุรกิจโดยปราศจากความอดทนนั้นยากที่จะหาเงินได้
14. คนโลภมีแน่นอน
15. ปฏิบัติต่อลูกค้าต้องสุภาพเหมือนปฏิบัติต่อผู้หญิง
16. ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการทำธุรกิจคือลักษณะพิเศษเฉพาะตัวไม่ใช่ความเก่ง
17. สิ่งที่ทำให้การทำธุรกิจล้มเหลวคือความไม่เชื่อใจกัน

Photo by fauxels from Pexels
แนวคิดที่ 4: ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแต่ตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักใช้กำลังสมองของคนอื่นด้วย
18. เงินของคนอื่นคือกุญแจสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้คุณสร้างกำไรได้
19. ใช้คนเก่ง ๆ ยืมมันสมองอันชาญฉลาดของคนอื่นเพื่อหาเงิน
20. สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้จักใช้เงินน้อยๆ แต่ก็ยังสามารถทำให้ธุรกิจเจริญเติบโตได้
21. พยายามอยู่ใกล้คนที่ชอบแสวงหาผลประโยชน์ แล้วคุณก็จะได้รับผลประโยชน์นั้นเช่นกัน
22. เพื่อประโยชน์ในการทำธุรกิจของคุณ เมื่อถึงเวลาจ่ายก็ควรจ่าย แล้วคุณจะได้รับกลับคืนมาภายหลัง
แนวคิดที่ 5: เงินต่อเงิน คนยิ่งต่อเงิน
23. ทำให้เงินในธนาคารมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ
24. หาเงินจาก “คนรวย” ง่ายกว่า
25. เงินจากผู้หญิงและเงินจากปากต่อปาก เป็นการหาเงินสองวิธีที่ไม่มีวันตาย
26. “คนหาเงิน” ไม่เหมือน “เงินต่อเงิน” อยากทำธุรกิจใหญ่ๆ ได้เงินมากๆ แต่ไม่เข้าใจวิธีการดำเนินธุรกิจย่อมเป็นเรื่องยาก
27. ความพยายามส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำธุรกิจและใช้เงินอย่างคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์

Photo by emre keshavarz from Pexels
แนวคิดที่ 6: ตระหนักรู้ในความเสี่ยงเสมอ
28. รู้จักตระหนักถึงความเสี่ยง ป้องกันจุดอ่อนและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างมั่นคง
29. กล้าที่จะเสี่ยง ยิ่งเสี่ยงมากยิ่งได้กำไรมาก
30. นักธุรกิจที่ “รู้ตัวเลข” ไม่ใช่สิ่งจำเป็น
31. เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวง งานบางอย่างควรใช้เงินจ้างผู้เชี่ยวชาญจึงจะเป็นการใช้เงินที่คุ้มค่า
32. การลงทุนต้องรู้จักป้องกันความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น
33. สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการทำธุรกิจคือการไม่รู้ว่าเราผิดตรงไหน

Photo by Taryn Elliott from Pexels
แนวคิดที่ 7: ธุรกิจต้องดูเวลาที่ทำ
34. เวลาที่ไม่ดีไม่ได้หมายความว่าจะทำธุรกิจได้ไม่ดีเสมอไป บางครั้งในทางกลับกันเวลาที่ไม่ดียิ่งหาเงินได้ง่ายขึ้น
35. จริงจังกับการรวบรวมข้อมูล
36. ติดตามการเคลื่อนไหวของเวลาตลอดเวลา และดูแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
37. คนที่กล้าออกนอกกรอบคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด
38. ค่อยๆ ก้าวทีละก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงิน
. . .
แค่ 7 แนวคิด 38 วิธี คุณก็สามารถรวยได้ไม่ยาก อาจทำทีละก้าว ทีละก้าว แต่คุณจะคว้าเส้นชัยได้ในที่สุด ถ้าคุณมีความพยายามมากพอ
อ้างอิง: https://www.facebook.com/1430480313652629/posts/4306889339345031/
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
แปลบทความโดย: ปิ่นแก้ว ศิริวัฒน์
กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ 7D Book&Digital
. . .
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels และ freepik