เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เจมส์ ไดสัน ผู้ก่อตั้ง Dyson ถูกจัดอันดับโดย The Sunday Times ให้เป็นชาวอังกฤษที่ร่ำรวยมากที่สุดอันดับที่ 2 ด้วยทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2.3 หมื่นล้านปอนด์ หรือราว 9.9 แสนล้านบาท
แต่ใครจะรู้ว่าคนที่มีทรัพย์สินมากมายขนาดนี้ ครั้งหนึ่งเขายอมใช้เวลาถึง 5 ปี ลงทุนไปกับการคิดค้นเครื่องดูดฝุ่นรุ่นใหม่จนเกือบหมดตัว ถึงขั้นต้องเอาเงินเดือนของภรรยามาใช้
ไดสันต้องผ่านอุปสรรคอะไรบ้าง
กว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐีอันดับ 2 ของอังกฤษได้
.
7D Book Publishing จะเล่าให้ฟัง
ไดสันเติบโตมาในฐานะเด็กชาวอังกฤษทั่วไปในย่านนอร์ฟอล์กเมืองเล็กๆ ทางตะวันออกของอังกฤษ
เขาเรียนที่ Gresham’s School ในระหว่างที่เรียนก็เริ่มสนใจวิชาศิลปะ ทำให้เลือกเข้าเรียนต่อที่ Byam Shaw School of Art ก่อนที่จะศึกษาต่อด้านการออกแบบภายในที่ Royal College of Art และเป็นที่นี่ที่ไดสันพบกับ เดียร์ดรี ไฮนด์มาร์ก ครูสอนศิลปะชาวอังกฤษ และแต่งงานกันในปี 1968
ไดสันจบการศึกษาในปี 1970 จากนั้นก็เข้าทำงานที่ Rotork Controls กับหัวหน้างาน เจเรมี ฟราย
ที่นี่ เขาได้ออกแบบ Sea Truck เรือบรรทุกสินค้าความเร็วสูงที่สามารถทอดสมอได้เลยโดยไม่ต้องเทียบท่า
ต่อมาในปี 1978 เขาย้ายมาทำงานที่โรงเลื่อยแห่งหนึ่งที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้น
ระหว่างที่ทำงาน เขาสังเกตุเห็นว่ารถเข็นอุปกรณ์ก่อสร้างของเขามักจะต้องเจอ
ปัญหาจมโคลนทุกครั้งที่ลากรถผ่านในจะดึงขึ้นมาก็ลำบากไปอีก
ทำให้เขามีความคิดที่จะออกแบบล้อรถแบบใหม่ซึ่งไดสันใช้เวลาคิดค้นและออกแบบอยู่ 6 ปี
ผลงานชิ้นแรกของไดสันก็สำเร็จ เขาออกแบบล้อของรถเข็นให้เป็นพลาสติกเรียกว่า Ballbarrow
แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายเนื่องจากมีความผิดพลาดในการจดสิทธิบัตร
ทำให้มีคนนำไปสร้างเลียนแบบ แล้วนำไปจดสิทธิบัตรเอาไว้และได้สิทธิ์เป็นเจ้าของความคิดไป
แล้วเครื่องดูดฝุ่นเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ต้องบอกว่าในปี 1978 ที่ไดสันทำงาน เขาได้ซื้อเครื่องดูดฝุ่นรุ่น Hoover Junior
เพื่อมาทำความสะอาดบ้าน ทีนี้ที่ไดสันเริ่มเจอปัญหา เพราะเครื่องดูดฝุ่นในยุคนั้นใช้ถุงผ้าเป็นที่เก็บฝุ่น
ปลายด้านหนึ่งถูกแขวนกับที่จับเครื่อง ส่วนปลายอีกด้านครอบเข้ากับช่องลมที่ดูดฝุ่นเข้ามาเก็บ
ซึ่งเมื่อเต็มก็ต้องถอดมาทำความสะอาดอีก
แม้ว่าในยุคนั้นจะมีหลายบริษัทที่คิดค้นนำถุงกระดาษมาใช้งานแทน
แต่ข้อเสียคือ มันเป็นถุงแบบใช้แล้วทิ้ง ไดสันจึงมองว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่ตอบโจทย์ของเขา
ไดสันแก้ปัญหาอย่างไร?
ในขณะที่เขาทำงานอยู่ในโรงเรี่อยแล้วสังเกตุว่า ไส้กรองแบบใหม่ของพัดลมดูดอากาศพลังงานสูง
ในโรงงานของเขาสามารถดูดขี้เลี่อยเข้าไปเก็บได้โดยไม่ต้องมีไส้กรองจริงๆ
ดังนั้น ถ้าเขาสามารถย่อส่วนกลไกนี้ลงมาให้เล็กลงได้ก็สามารถนำมาใช้ได้กับการดูดฝุ่นในบ้าน
แต่ปัญหาของไดสันก็ยังไม่หมดเพราะเขาเป็นนักออกแบบไม่ใช่วิศวกร
ต่อให้ออกแบบได้แล้วจะสร้างมันอย่างไร
ทางเดียวของเขาคือการเรียนรู้งานด้านวิศวกรรมในขณะออกแบบเครื่องดูดฝุ่นไปด้วย
ในปี 1979 ไดสันนำไอเดียไปขายให้หัวหน้าที่โรงงานฟังเพื่อขอเงินทุน แต่หัวหน้าของเขาไม่สนใจ
เพราะมองว่าถ้าเครื่องดูดฝุ่นของเขาดีจริง บริษัทยักษ์ใหญ่ในตอนนั้น
ทั้ง Hoover และ Electrolux คงสร้างกันไปแล้ว เขาถูกปฏิเสธให้เงินทุน
ไดสันไม่มีทางเลือก เขาติดต่อไปหา เจเรมี ฟราย หัวหน้าเก่าที่ Rotork Controls
เพื่อขอเงินทุน เจเรมียินดีให้เงินทุนมาช่วย 2 ล้านบาท
และเพื่อที่จะได้มีเวลาสร้างเครื่องดูดฝุ่นเต็มตัว เขายอมลาออกจากโรงงานเลื่อย
เพื่อกลับมานั่งขลุกตัวออกแบบเครื่องดูดฝุ่นอยู่ในห้องเก็บของที่บ้าน
นี่จึงเป็นการตัดสินใจที่อันตรายเพราะเมื่อเวลาผ่านไป ไดสันเสียเงินค่าอุปกรณ์ไปเป็นจำนวนมาก
เขาก็ยังไม่ได้ตัวต้นแบบที่พอใจ เงินที่ยืมมาก็ใกล้หมดถึงขนาดไม่มีเงินพอจะซื้ออุปกรณ์มาทำต่อ
ไดสันมีสภาพไม่ต่างจากบุคคลล้มละลายที่วันๆ เอาแต่นั่งออกแบบเครื่องดูดฝุ่นอยู่ที่บ้าน
ส่วนเงินที่ใช้อยู่ก็มาจากเงินเดือนของภรรยาที่ทำงานเป็นครูสอนศิลปะ
แต่แล้วในปี 1983 ไดสันที่ใช้เวลาออกแบบเครื่องดูดฝุ่นของเขามานานถึง 5 ปี
ก็ออกแบบรุ่นต้นแบบเสร็จสมบูรณ์ ในการออกแบบครั้งที่ 5,127
พร้อมกับตั้งชื่อให้มันว่า “DC01” (Dual Cyclone)
แม้จะเขาจะสร้างออกมาได้แล้ว แต่อุปสรรคของไดสันยังไม่หมดแค่นั้น
เพราะบริษัทที่เขาติดต่อไปเสนอขายทั้งในอังกฤษบ้านเกิดและอเมริกา
ไม่มีที่ไหนซื้อไอเดียของเขาไปผลิตขายจริง เนื่องจากในเวลานั้นบริษัทต่างๆ
ยังคงทำกำไรได้จากการขายถุงกระดาษ
ซึ่งมูลค่าของอุตสาหกรรมเครื่องดูดฝุ่นในตอนนั้นมีมูลค่ามากถึง 4 พันล้านบาท (100 ล้านปอนด์)
ถือว่ามีความแข็งแกร่งมากพอสมควร ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่มีบริษัทไหน
ต้องการเอาสินค้าที่พวกเขาไม่ได้คิดขึ้นเองเข้าไปวางจำหน่าย
ไดสันยังไม่หมดหนทางซะทีเดียว วันหนึ่งเขาได้รับสายจาก Apex บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น
ที่ติดต่อมาหาพร้อมแสดงความสนใจที่จะซื้อเครื่อง DC01 ของไดสันไปผลิตและวางจำหน่าย
ในชื่อ Dyson G-Force ด้วยราคา 71,000 บาท พร้อมรูปลักษณ์สีชมพูเป็นที่ดึงดูดตาของลูกค้า
เพียงแต่ผู้บริโภคยังมองว่าราคานี้สูงเกินไปสำหรับเครื่องดูดฝุ่น ทำให้ขายออกยาก
ไดสันจึงต้องคิดออกแบบให้มันมีราคาถูกลง เขาจึงวางแผนกู้เงินจากธนาคาร
กว่า 25 ล้านบาท มาก่อตั้ง Dyson Inc. และเดินทำตลาดในญี่ปุ่นจนแข็งแกร่ง
ก่อนจะกลับเข้าไปทำตลาดในบ้านเกิดในปี 1993 ด้วยสโลแกน “Say goodbye to the bag”
และขยายตลาดเข้าไปในอเมริกาในเวลาต่อมา
.
เรื่องราวทั้งหมดนี้เองที่ทำให้ เจมส์ ไดสัน ก้าวขึ้นมาจนกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยมากที่สุดอันดับ 2 ของอังกฤษ
และลำดับที่ 120 ของโลก พร้อมกับพา Dyson ทำรายได้ในปี 2021 มากถึง 2 แสนล้านบาท
จากนี้ไปความคิดของไดสันไม่ได้หยุดอยู่แค่เครื่องดูดฝุ่น
แต่ยังแตกไลน์สินค้าไปทำไดร์เป่าผม เครื่องหนีบผม และโคมไฟ
นอกจากนี้ ไดสันยังมีแผนการลงทุนระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2020-2025
ที่จะลงทุนด้วยเงิน มูลค่ากว่า 1 แสนล้าน ในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์
ทั้งการจ้างงานตำแหน่งวิศวกรหุ่นยนต์ รวมทั้งการศึกษาด้านวิศวกรรมแมคคาทรอนิกส์
และ Machine Learning เพื่อหวังสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกให้โลกต่อไป
.
ที่มา: https://www.anecdote.com/2018/10/dyson-innovation-really-sucks-episode-32/
https://www.itv.com/news/westcountry/2022-05-22/west-countrys-sir-james-dyson-now-second-wealthiest-in-uk
https://www.joegraham.co.uk/blog/tag/history-of-the-dyson-company
https://www.theguardian.com/culture/2016/may/24/interview-james-dyson-vacuum-cleaner
https://www.theguardian.com/technology/2022/may/25/dyson-reveals-its-big-bet-robots
https://www.thepeople.co/read/business/23518
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก : Business Insider