ปัจจุบันเป็นยุคแห่งการแข่งขัน ใครดีใครได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลายคนคิดว่า “งาน” มีความสำคัญสำหรับพวกเขาเหนือสิ่งอื่นใด เพราะความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน อยากก้าวหน้า อยากเหนือคนอื่น ทำให้ใครหลาย ๆ คนทำงานหนักมากขึ้นจนไม่มีเวลาและละเลยสุขภาพร่างกายของตัวเอง
ความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันไม่ใช่แต่ทำให้ร่างกาย อารมณ์ และจิตใจของคุณมีความสุขเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่ออาชีพการงานของคุณอีกด้วย
แน่นอน เรากำลังพูดถึง ความสมดุลระหว่างงานกับชีวิต หรือ Work-Life Balance
เมื่อได้ยินคำนี้ หลายคนอาจจะส่ายหัวทันที เพราะมันเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยากเสียเหลือเกิน หลายคนอยากจะทำให้ได้ แต่พยายามสักเท่าไรก็ทำไม่ได้เสียที และหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจและยังสงสัยอยู่ว่า ความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตคืออะไรกันแน่ และมันมีความสำคัญต่อเราอย่างไร?
ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับ Work-Life Balance กันก่อนดีกว่า
Work-Life Balance คือ การที่คนคนหนึ่งสามารถจัดลำดับความสำคัญของงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างสมดุลหรือเท่าเทียมกัน และสาเหตุที่ทำให้เราไม่สามารถรักษาความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตที่ได้ ก็คือ
- ความรับผิดชอบในการทำงานเพิ่มมากขึ้น
- ความรับผิดชอบที่บ้านเพิ่มมากขึ้น
- ทำงานนานขึ้น
- มีลูก ฯลฯ
คริส แชนซีย์ (Chris Chancey) CEO และผู้ก่อตั้ง Amplio Recruiting บริษัทจัดหางานชื่อดังของอเมริกา กล่าวว่า Work-Life Balance มีผลในเชิงบวกมากมาย รวมไปถึงทำให้ความเครียดลดลง เหนื่อยน้อยลง และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อพนักงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนายจ้างด้วย”
“นายจ้างที่สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่สนับสนุนแนวคิด Work-Life Balance ให้กับพนักงานของพวกเขา สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น พนักงานขาดงานน้อยลง และพนักงานมีความซื่อสัตย์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่า การทำงานแบบ Work from Home หรือมีตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นช่วยให้พนักงานสามารถ Work-Life Balance ได้มากขึ้น
Work-Life Balance ไม่ใช่การแบ่งเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวให้เท่ากัน แต่เป็นความยืดหยุ่นในการทำงาน ในขณะเดียวกันก็ยังมีเวลาสนุกสนานกับชีวิตส่วนตัวอีกด้วย
ต่อไปนี้คือ 8 วิธี Work-Life Balance ที่คุณก็สามารถนำไปใช้ได้ง่าย ๆ จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย
1. ไม่มี Work-Life ฺBalance ที่สมบูรณ์แบบ
เมื่อคุณได้ยินคำว่า Work-Life Balance คุณอาจจะนึกถึงภาพตัวเองทำงานได้ดีและสามารถใช้เวลาครึ่งวันที่เหลือไปกับเพื่อนและครอบครัวได้ แม้ว่าอาจจะฟังดูดี แต่คุณไม่สามารถทำได้เสมอไป
คุณไม่จำเป็นต้อง Work-Life Balance ให้จริงจังหรือสมบูรณ์แบบขนาดนั้น จัดเวลาโดยให้อยู่กับความเป็นจริงให้มากที่สุด บางวันคุณอาจจะทำงานให้มากขึ้น บางวันคุณอาจจะใช้เวลาทำงานอดิเรกหรืออยู่กับคนที่คุณรัก แล้วความสมดุลจะอยู่กับคุณตลอดไป ไม่ใช่แค่เฉพาะในแต่ละวันเท่านั้น
2. หางานที่คุณรัก
แม้ว่างานจะเป็นปัจจัยหนึ่งสังคมที่คาดหวัง แต่คุณไม่ควรจำกัดอาชีพของคุณด้วยค่านิยมของสังคม ถ้าคุณไม่ชอบในสิ่งที่คุณทำ คุณจะไม่มีความสุข คุณไม่จำเป็นต้องรักทุกอย่างในงานของคุณ แต่คุณต้องรู้สึกตื่นเต้นมากพอที่จะลุกจากเตียงไปทำงานทุกเช้า
ถ้างานของคุณทำให้คุณเหนื่อยและคุณไม่มีเวลาทำในสิ่งที่คุณรักนอกเวลางาน แสดงว่าได้เวลาที่คุณควรจะหางานใหม่ได้แล้ว หรือถ้าสภาพแวดล้อมในที่ทำงานเป็นพิษ เพื่อนร่วมงานเป็นพิษ หรือคุณทำงานที่คุณไม่ได้รักจริง ๆ ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องหางานใหม่เช่นกัน
3. สุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ
สุขภาพร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องความวิตกกังวลหรือภาวะซึมเศร้า คุณควรจะรีบรักษาหรือบำบัดเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ คุณอาจจะแบ่งเวลารักษาตัวให้เข้ากับตารางงานของคุณ แต่อย่าปล่อยให้เรื้อรังเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้คุณต้องหยุดงานมากกว่าเดิม
การให้ความสำคัญกับสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คุณทำงานได้ดีขึ้น คุณจะหยุดงานน้อยลง มีความสุข และมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
4. ปิดสวิตช์ (ร่างกาย) เสียบ้าง
การตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นครั้งคราวช่วยให้เราฟื้นตัวจากความเครียดได้ ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง และมีเวลาคิดทบทวตัวเองมากขึ้น คุณสามารถปิดสวิตช์ร่างกายของคุณได้ง่าย ๆ เช่น การทำสมาธิ อ่านหนังสือ หรือฟังเพลง
เชื่อหรือไม่ว่า การปิดสวิตช์ร่างกายชั่วคราวเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของคุณ และยังช่วยให้คุณรู้สึกมีพลังและมีสมาธิมากขึ้น เมื่อคุณกำลังเข้าสู่ชั่วโมงเร่งรีบ
5. ไปเที่ยวพักผ่อน
บางครั้งการปิดสวิตช์ที่แท้จริงก็อาจจะหมายถึงการหยุดพักผ่อนหรือหยุุดทำงาน ไม่ว่าคุณจะหยุดแค่วันเดียวหรือหลายสัปดาห์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องหยุดพักผ่อนจริง ๆ เพื่อเติมพลังกายและพลังใจ รวมไปถึงปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด
จากการศึกษาของ State of American Vacation 2018 ที่จัดทำโดยสมาคมการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐอเมริกาชี้ให้เห็นว่า พนักงานถึง 52% ไม่ใช้สิทธิลาหยุดพักร้อน เพราะพวกเขากลัวว่าการหยุดงานจะทำให้งานมีปัญหาและกลัวว่าจะเจอกับกองงานที่ค้างอยู่ท่วมโต๊ะเมื่อพวกเขากลับมา
ความจริงแล้ว ไม่มีใครไม่เคยหยุดทำงาน ข้อดีของการหยุดงานมีมากกว่าข้อเสีย ดังนั้น ถ้าคุณอยากหยุดงาน คุณต้องรู้จักวางแผนอย่างเหมาะสม ไม่ให้งานของคุณเป็นภาระของเพื่อนร่วมงาน หรือต้องต่อสู้กับงานมหาศาลเมื่อคุณกลับมา
6. ให้เวลากับตัวเองและคนที่คุณรัก
แม้ว่างานของคุณจะมีความสำคัญ แต่มันไม่ควรเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตของคุณ คุณควรจัดลำดับความสำคัญระหว่างงานกับกิจกรรมที่ทำให้คุณมีความสุข
ถ้าคุณไม่วางแผนสำหรับเวลาส่วนตัว คุณจะไม่มีเวลาทำอย่างอื่นนอกจากทำงาน ดังนั้น ไม่ว่าตารางงานของคุณจะแน่นสักแค่ไหน คุณต้องวางแผนสำหรับเวลาส่วนตัวของคุณด้วย แล้วคุณจะสามารถควบคุมทั้งเวลาและชีวิตของคุณได้
ถ้าวางแผนสำหรับเวลาส่วนตัวได้แล้ว คุณควรวางแผนเพื่อใช้เวลากับคนที่คุณรักหรือครอบครัวด้วย การที่คุณงานยุ่งไม่ได้หมายความว่าคุณควรจะละเลยความสัมพันธ์ส่วนตัว จำไว้ว่าไม่มีใครในบริษัทของคุณจะรักคุณได้เท่ากับคนที่คุณรักหรือครอบครัวของคุณ
7. กำหนดขอบเขตและเวลาทำงาน
กำหนดขอบเขตในการทำงานสำหรับตัวคุณเองและเพื่อนร่วมงานเพื่อลดความวุ่นวายและความเหนื่อย เมื่อคุณออกจากออฟฟิศแล้ว คุณควรหยุดทำงาน หยุดตอบเชตและอีเมลทุกอย่าง ทางที่ดีที่สุดแยกคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ไว้สำหรับทำงานโดยเฉพาะ คุณจะได้สามารถปิดเครื่องได้เมื่อหมดเวลางาน
ไม่ว่าคุณจะทำงานนอกบ้านหรือทำงานที่บ้าน สิ่งสำคัญคือ คุณต้องตัดสินใจว่าคุณจะทำงานเมื่อไรและจะหยุดทำงานเมื่อไร มิฉะนั้น คุณอาจต้องตอบอีเมลเกี่ยวกับงานตอนดึกหรือวันหยุดสุดสัปดาห์
นอกจากนี้ คุณอาจจะแจ้งเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายของคุณว่าคุณจะไม่รับโทรศัพท์หรือตอบแชตเวลาไหน พวกเขาจะได้รู้และเคารพความเป็นส่วนตัวของคุณ
8. ตั้งเป้าหมายและจัดลำดับความสำคัญ
กำหนดเป้าหมายในการทำงานโดยใช้การบริหารเวลาเข้ามาช่วย วิเคราะห์สิ่งที่ต้องทำ และตัดงานที่ไม่มีประโยชน์ออกไป
ทำงานในเวลาที่คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และเมื่อถึงเวลาพักก็ต้องหยุดคิดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานทั้งหมดนอกจากนี้ คุณควรเลิกเช็กอีเมลหรือโทรศัพท์ทุก ๆ สองสามนาที เนื่องจากงานเหล่านี้ทำให้เสียเวลามากและอาจทำให้ไม่มีสมาธิในการทำงานและประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
นอกจาก 8 วิธี Work-Life Balance ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว องค์กรหรือบริษัทก็ต้องปรับตัวให้ Work-Life Balance เกิดขึ้นได้จริงในองค์กรหรือบริษัทของพวกเขาด้วย
Work-Life Balance จะประสบความสำเร็จได้ด้วยตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น จากการวิจัยล่าสุดพบว่าในช่วง 7 ปีที่ผ่านมานี้ หลายองค์กรและบริษัทเริ่มมีความยืดหยุ่นมากขึ้นทั้งกับตารางเวลางานและสถานที่ทำงาน
ความยืดหยุ่นสามารถช่วยนายจ้างได้ในระยะยาว แฮงค์ แจ็คสัน (Hank Jackson) CEO ของ Society for Human Resource Management หรือ สมาคมเพื่อการจัดการทรัพยากรมนุษย์ กล่าวว่า “นายจ้างต้องหาวิธีเพื่อให้พนักงานทำงานได้อย่างยืดหยุ่นให้ได้ ถ้าพวกเขาต้องการรักษาพนักงานที่มีความสามารถระดับหัวกะทิเอาไว้”
เพื่อให้พนักงานสามารถ Work-Life Balance ได้และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ Robert Half Management Resources ซึ่งบริษัทที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ระดับโลก ได้เสนอ 4 เคล็ดลับ ดังต่อไปนี้
1. พนักงานของคุณมีเป้าหมายอะไร ทุกคนมีเป้าหมาย Work-Life Balance ที่ไม่เหมือนกัน ลองพูดคุยกับเกี่ยวกับเป้าหมายของพวกเขา แล้วพิจารณาว่าคุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยพวกเขา พนักงานบางคนอาจชอบ Work from Home 2-3 วันต่อสัปดาห์ ในขณะที่บางคนอาจชอบเปลี่ยนตารางการทำงานทุกวัน สิ่งสำคัญคือ องค์กรต้องเปิดใจให้กว้างและยืดหยุ่น
2. เป็นตัวอย่างที่ดี พนักงานส่วนใหญ่มักจะทำตามหัวหน้าหรือเจ้านายของพวกเขา ถ้าคุณส่งอีเมลตลอดเวลาหรือทำงานหนักในวันหยุด พนักงานของคุณก็จะคิดว่าพวกเขาควรจะทำแบบนั้นด้วย ดังนั้น ถ้าคุณเป็นเจ้านายที่ทำงานหนักก็ควรลดการทำงานลงบ้าง เพื่อไม่ให้พนักงานทำงานหนักจนเกินไป
3. ให้พนักงานรู้ว่าพวกเขามีตัวเลือกอะไรบ้าง โดยทั่วไปแล้ว ก่อนเข้าทำงาน นายจ้างมักจะพูดถึง Work-Life Balance แต่บางครั้งมันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ ดังนั้น องค์กรควรพูดคุยกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ อาจจะมีทางเลือกที่มีให้พวกเขา เพื่อให้พนักงานรู้ว่าองค์กรยังแคร์พวกเขาอยู่
4. ทันโลก องค์กรต้องก้าวให้ทันเทรนด์ Work-Life Balance อยู่เสมอ สิ่งที่ใช้ได้ในปีนี้อาจไม่เหมาะที่จะใช้ในปีหน้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องยึดหลัก Work-Life Balance เพื่อให้พนักงานสบายใจที่สุด
Work-Life Balance มีความหมายแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนมีภาระในชีวิตที่แตกต่างกัน ความสมดุลเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน และมีเพียงคุณเท่านั้นที่สามารถตัดสินใจได้ว่าไลฟ์สไตล์แบบไหนที่เหมาะกับคุณที่สุด
อ้างอิง:
How to Improve Your Work-Life Balance Today จาก https://bit.ly/30Njf95
. . .
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
แปลและเรียบเรียงโดย: ปิ่นแก้ว ศิริวัฒน์
กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Pexels