บ้านทั้งโครงการทรุดแน่ถ้าไม่แก้ตั้งแต่การถมดิน
เจ้าของโครงการบางคนคงเคยพบเจอกับข้อร้องเรียนจากลูกบ้านกันมาบ้างว่าบ้านมีรอยร้าวหรือพื้นดินทรุดทั้งที่เข้ามาอยู่ได้แค่ไม่กี่ปี แม้ว่าจะพยายามหาทางออกด้วยการทาสีกลบรอยร้าวหรือแก้ไขโครงสร้างในจุดที่พื้นดินเกิดการทรุดตัวแล้วแต่ก็เหมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยที่ต้นเหตุยังไม่ได้รับการแก้ไข
เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาในภายหลังนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังวางแผนจะสร้างโครงการใหม่จึงต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับพื้นที่ทำเลที่ตั้งของโครงการเสียก่อน โดยเฉพาะเรื่องของการถมดินเพื่อปรับระดับให้สูงขึ้นเพราะนั่นคือหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้บ้านทรุดตัวด้วยเช่นกัน
ทำไมต้องถมดินก่อนการก่อสร้างโครงการ?
การปรับสภาพดินหรือการถมดินถือเป็นขั้นตอนแรก ๆ ที่ต้องทำให้แล้วเสร็จก่อนที่จะเริ่มทำการก่อสร้างโครงการโดยวัตถุประสงค์ก็เพื่อยกระดับพื้นที่ให้สูงขึ้นพร้อมกับการวางระบบการระบายน้ำหลีกเลี่ยงปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อป้องกันการทรุดตัวของพื้นดินที่นำไปสู่การคลื่อนตัวของโครงสร้างอาคารภายในโครงการ ซึ่งถือเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงอีกอย่างหนึ่งก่อนที่จะทำการปักเสาเข็มนั่นเอง
รู้จักดินที่จะถมก่อนทำการถมดิน
ปัญหาที่ทำให้บ้านทรุดหลัก ๆ ไม่ใช่เพียงแค่สภาพเดิมของที่ดินแต่ยังรวมไปถึงลักษณะของดินที่นำเข้ามาถมใหม่ด้วย ฉะนั้นดินที่เหมาะกับการนำมาถมเพื่อเป็นฐานของสิ่งปลูกสร้างจึงควรเป็นดินที่มาจากธรรมชาติ ดังนี้
1. ดินดาน
ดินประเภทนี้จะมีความแห้ง มักจะถูกนำมาใช้กลบหน้าดินที่มีการถมแล้ว มีคุณสมบัติที่สามารถบดอัดได้ดีจึงเหมาะสำหรับการใช้ถมทำพื้นถนนคอนกรีตหรือที่ดินที่อยู่บริเวณใกล้ริมแม่น้ำ
2. ดินทราย
ดินทรายเป็นดินที่มีราคาถูก นิยมนำมาใช้ในการถมพื้นที่โครงการจัดสรรมากที่สุดด้วยคุณสมบัติที่มีทรายเป็นส่วนประกอบหลักและไม่อุ้มน้ำทำให้ที่ดินไม่เกิดการท่วมขังและระบายน้ำได้ดี แต่จะมีข้อเสียคือปัญหาดินทรุดตัวเนื่องจากการจับตัวกันไม่แน่นตามลักษณะของดิน ฉะนั้นหากเลือกที่จะใช้ดินประเภทนี้จะต้องทำการบีบอัดให้แน่นกว่าดินทั่ว ๆ ไป
3. ดินลูกรัง
ดินลูกรังจะมีลักษณะพิเศษนั่นก็คือความแข็งแรง และเมื่อดินแห้งจะยิ่งสามารถบีบอัดให้แน่นขึ้นได้ นิยมใช้ในการก่อสร้างถนนคอนกรีตแต่ไม่เหมาะสำหรับการปลูกต้นไม้เพราะมีความแห้งมากเกินไป
4. ดินเหนียว
ดินเหนียวจะมีความสามารถในการอุ้มน้ำที่ดีมาก ๆ และมีเนื้อดินที่ละเอียด สามารถหาได้ง่าย มีต้นทุนในการขุดและการถมดินไม่สูงมาก จึงนิยมนำมาถมในพื้นที่ที่มีการลงทุนอสังหาริมทรัพย์หรือโครงการจัดสรรจำนวนมากอย่างเช่น กรุงเทพมหานครและเขตพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง
5. หน้าดิน
ดินประเภทนี้เป็นดินที่มีต้นทุนและราคาสูงมากกว่าดินประเภทอื่น ๆ เพราะเป็นส่วนที่มีอยู่แค่บริเวณหน้าดินในระดับไม่เกิน 1 เมตร ซึ่งเหมาะสำหรับการเพาะปลูกต้นไม้ด้วยเพราะมีแร่ธาตุในดินค่อนข้างสูง
ข้อกำหนดในการขุดดิน-ถมดิน
ก่อนที่เจ้าของโครงการจะทำการตกลงว่าจ้างผู้รับเหมาในการเข้ามาถมดินหรือทำการปรับสภาพพื้นที่จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและข้อกฎหมายดังต่อไปนี้ด้วย
1. การขุดดินลึกกว่า 3 เมตร
หากมีความจำเป็นต้องขุดดินเพื่อการก่อสร้างโครงการด้วยความลึกที่มากกว่า 3 เมตรจะต้องทำการแจ้งขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่พนักงานท้องถิ่น ในกรณีที่อยู่ในกรุงเทพมหานครให้แจ้งต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หากอยู่ในเขตต่างจังหวัดให้ทำการแจ้งต่อนายกเทศมนตรี และจะต้องทำการขุดที่ดินตามแบบที่เจ้าหน้าที่ได้กำหนดไว้เท่านั้น
2. ตำแหน่งที่ขุดดินมีความลึกไม่ถึง 3 เมตร
เมื่อต้องทำการขุดดินเพื่อนำไปถมในพื้นที่ของโครงการ ถ้าอยู่ใกล้เขตที่ดินของบุคคลอื่นในระยะที่น้อยกว่าระยะสองเท่าของบ่อดินที่จะขุด จะต้องทำการป้องกันเพื่อไม่ให้ที่ดินพังทลายหรือสร้างความเสียหายให้แก่พื้นที่ใกล้เคียงที่เป็นของบุคคลอื่น
3. การถมดินที่สูงกว่าพื้นที่ใกล้เคียง
หลายคนอาจจะเคยเห็นข้อพิพาทระหว่างโครงการจัดสรรกับเจ้าของที่ดินในพื้นที่ใกล้เคียงกันมาบ้างแล้วโดยเฉพาะปัญหาเรื่องของน้ำท่วมขังเนื่องจากพื้นที่ของโครงการมีความสูงมากกว่าพื้นที่ในละแวกเดียวกัน ดังนั้นจึงมีข้อกำหนดออกมาว่าสามารถถมดินให้มีความสูงกว่าพื้นที่ใกล้เคียงได้แต่เนินดินต้องไม่สูงเกิน 2000 ตารางเมตร และต้องมีการจัดระบบการระบายน้ำที่ดีมากพอเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อที่ดินที่อยู่ใกล้เคียง
จบปัญหาบ้านทรุดด้วยการถมดินที่ถูกวิธี
1. ตรวจสอบประวัติของทำเลที่ตั้ง
ประวัติการเกิดอุทกภัยเป็นปัจจัยที่เจ้าของโครงการจะต้องทำการศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วนตั้งแต่แรกก่อนจะเข้าทำการถมดิน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถสอบถามได้จากคนในพื้นที่ใกล้เคียงก็ได้ว่าจากประวัติการเกิดอุทกภัยมีระดับความสูงของน้ำอยู่ที่เท่าไหร่ และใช้เวลานานแค่ไหนกว่าน้ำท่วมขังนั้นจะลดลง เพราะปริมาณของน้ำก็มีส่วนสำคัญในการทำให้พื้นดินอ่อนตัวและกลายเป็นดินโคลน ซึ่งถ้าเป็นพื้นที่ที่มีประวัติน้ำท่วมบ่อย ๆ จะทำให้ดินแน่นช้าและค่าถมดินจะมีต้นทุนสูงขึ้นไปด้วย
2. ความสูงของดินที่จะถม
ในการถมดินแต่ละครั้งจะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลัก ๆ อยู่หลายประการ หนึ่งในนั้นก็คือความสูงจากระดับพื้นถนนและพื้นที่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง โดยทั่วไปแล้วการถมที่ดินจะสูงกว่าระดับของพื้นถนนอยู่ประมาณ 50-80 เซนติเมตร หรือเพื่อเป็นการป้องกันพื้นดินที่จะยุบตัวในอนาคตอาจมีการถมที่ดินสูงขึ้นถึง 1 เมตรได้
3. การเว้นระยะหลังการถมดิน
ตามหลักแล้วหลังจากทำการถมดินเรียบร้อยจะไม่เข้าไปทำการก่อสร้างในทันทีแต่จะทิ้งช่วงไว้ระยะหนึ่งเพื่อให้ที่ดินมีการปรับสภาพและยุบตัวลงก่อน ซึ่งโอกาสในการทรุดตัวจะยิ่งมีสูงหากว่ามีการถมดินในระดับที่สูงมาก โดยทั่วไปจะทิ้งช่วงไว้ประมาณ 6-12 เดือนเป็นอย่างต่ำ หรือหากมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการก่อสร้างอาจใช้รถบดดินเข้ามาช่วยเร่งการอัดตัวของพื้นดินด้วยก็ได้เช่นกัน
การถมดินให้ถูกต้องตามหลักตั้งแต่ต้นไม่เพียงแต่จะช่วยให้โครงการก่อสร้างบ้านจัดสรรนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพแต่ยังช่วยในเรื่องของการลดภาระค่าใช้จ่ายการซ่อมแซมในอนาคตด้วย ไม่ว่าจะในรูปแบบของการปรับปรุงโครงสร้างหรือการแก้ไขปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ก็ตาม เพราะหากรู้สาเหตุของปัญหาก็สามารถจัดการได้ตั้งแต่แรกโดยไม่ต้องปล่อยให้ลุกลามไปจนถึงขั้นที่เกินกว่าจะแก้ไขได้นั่นเอง
อ้างอิง:
เรื่องที่ควรรู้ ก่อนถมดินสร้างบ้าน จาก https://bit.ly/37UwPer
รู้ก่อนสร้าง…เตรียมพื้นที่อย่างไร ป้องกันโพรงใต้บ้านระยะยาว จาก https://bit.ly/3wrgaJG
ถมที่ดินให้ถูกกฎหมาย ตามพ.ร.บ.การขุดดินและถมดิน พ.ศ. 2543 จาก https://bit.ly/3wuQLi4
หมายเหตุ: เป็นการแปลและเรียบเรียงพร้อมตัดทอนบทความตามความเหมาะสม
เรียบเรียงโดย: ศุภธิดา รัสพันธ์
คอนเทนต์ครีเอเตอร์ 7D Book&Digital
ขอบคุณภาพประกอบจาก: เว็บไซต์ Freepik